นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มฯ และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงกรณีมีกระแสข่าวรัฐบาลไทยอยู่ระหว่างการหารือเบื้องต้นกับกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์เพื่อออกโครงการรถเก่าแลกรถใหม่และกำจัดซากรถ เพื่อช่วยฟื้นฟูอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยที่กำลังเผชิญวิกฤตครั้งรุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษว่า
ได้สอบถามในกลุ่มอุตฯยานยนต์ทั้งหมดว่า ทางรัฐบาลได้หารือร่วมกับกลุ่มไหนถึงนโยบายนี้หรือไม่ เบื้องต้นระบุว่า ยังไม่ใครหารือในนามกลุ่มอุตฯยานยนต์ โดยคาดว่าเป็นเพียงข้อสรุปของค่ายรถบางค่ายเท่านั้น ที่เสนอไปยังรัฐบาล
ซึ่งเรื่องดังกล่าวนี้เป็นประเด็นที่เคยพูดถึงกันมาหลายปีแล้ว เพื่อลดฝุ่นพีเอ็ม 2.5 แต่สุดท้ายก็ยังไม่มีความชัดเจนออกมา ซึ่งประเด็นนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ถ้าเร็วๆ นี้ไม่มีการออกมาตรการมาจริงๆ จะยิ่งส่งผลกระทบต่ออุตฯยานยนต์ ที่กำลังวิกฤติอยู่แล้ว จะยิ่งวิกฤติเข้าไปอีก เนื่องจากผู้บริโภคจะชะลอการตัดสินใจซื้อรถยนต์ เพื่อรอมาตรการ ยิ่งทำให้รถขายยากเข้าไปอีก
ทั้งนี้ มองว่าหัวใจหลักของปัญหาอยู่ที่การไม่ปล่อยสินเชื่อรถมากกว่า ขอให้รัฐเร่งออกมาตรการให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เป็นผู้ค้ำประกันสินเชื่อรถกระบะ เพื่อกระตุ้นยอดซื้อรถใหม่ ให้เร็วขึ้นจากเดิมระบุว่า 4 เดือน มองว่า ช้าเกินไป ขอเป็นภายใน 2 เดือน เพราะการผลิตรถกระบะ ใช้แรงงานเป็นจำนวนมาก หากแรงงานมีรายได้ก็จะไปจับจ่ายใช้สอย มีกำลังซื้อ และอุตฯยานยนต์มีซัพพายเชนที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก จะได้รับอานิสงส์ทั้งหมด
นอกจากนี้ ต้องการให้เร่งพิจารณามาตรการที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เคยเสนอแนวทางแก้ปัญหาอุตสาหกรรมยานยนต์ตกต่ำไปช่วงปลายปี 67 ที่ขอให้จัดตั้งกองทุนชดเชยการขาดทุนจากรถกระบะที่ถูกยึดวงเงิน 5,000 ล้านบาท หรือเท่าไรก็ได้ ช่วยกระตุ้นยอดขายรถกระบะขึ้นมาก
หากมียอดขายรถกระบะเพิ่มขึ้น 100,000 คัน หรือมูลค่า 60,000 ล้านบาท รัฐบาลจะมีรายได้จากการเก็บภาษีสรรพสามิต 1,800 ล้านบาท และภาษีมูลค่าเพิ่ม 4,200 ล้านบาท สูงกว่างบที่นำมาจัดตั้งกองทุนฯ และยังมีรายได้จากส่วนอื่น หากภาวะเศรษฐกิจขยายตัวเติบโตได้ดี
“การตั้งกองทุนฯ ถือเป็นเรื่องวินๆ ที่เราเลือกรถกระบะ เพราะรถกระบะ ใช้ชิ้นส่วนจากในประเทศสูงถึง 90% และเป็นเครื่องมือทำมาหากินของประชาชน เพราะฉะนั้นการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ จะเพิ่มขึ้นอีกเยอะ และการชดเชยผลจากการขาดทุนจากรถถูกยึดให้ไฟแนนท์ เป็นการชดเชยตามจริง แต่ไม่เกินคันละ 50,000 บาท เชื่อว่า จะทำให้กระตุ้นยอดขายได้ เพราะตอนนี้ไฟแนนท์ไม่กล้าปล่อยกู้ เพราะกลัวยึดรถแล้วขายขาดทุน ถ้ากระตุ้นยอดขายรถกระบะปีหน้าเพิ่มอีก 100,00 คัน มีส่วนช่วยให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปีนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากที่คาดการณ์ไว้ 2.8% เป็น 3.1-3.2%”
สำหรับโครงการรถเก่าแลกรถใหม่นั้น ถูกพูดถึงในช่วงปี 63 ซึ่งรัฐบาลจัดทำขึ้นมาเพื่อต้องการกระตุ้นการซื้อรถยนต์ที่ผลิตในประเทศ และเป็นรถยนต์ที่เป็นรถไฟฟ้า หรืออีวี เพื่อช่วยลดปริมาณมลพิษทางอากาศ และPM 2.5 ด้วยมีเงื่อนไข เช่น รถเก่าแลกรถใหม่ รถอายุ 12 ปีขึ้นไป มาแลกซื้อรถใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น อีโคคาร์ ครอบคลุมรถยนต์ไฟฟ้าแบบผสม หรือเอชอีวี
รถยนต์ไฟฟ้าแบบผสมแบบเสียบปลั๊ก หรือพีเอชอีวี และรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ หรือบีอีวี โดยจะจูงใจด้วยการเพิ่มมูลค่าให้รถเก่า 100,000 คัน คันละไม่เกิน 100,000 บา ท เพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อรถใหม่ โดยมูลค่าที่เพิ่มเกิดจกการนำค่าใช้จ่ายในการซื้อรถใหม่ไปหักภาษีเงินได้ รวมไม่เกิน 100,000 บาทต่อคัน
ประเด็นดังกล่าวได้สร้างความสับสนให้แก่ทั้งผู้ประกอบการ และประชาชนที่ต้องการซื้อรถในช่วงนี้ จนสุดท้ายนายสุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงานในขณะนั้น ได้ออกมาระบุว่า ให้พับโครงการไปเลย เนื่องจากยังไม่มีความพร้อม และยังไม่มีความชัดเจนหลายอย่าง เพื่อไม่ให้สร้างความสับสนให้กับประชาชนและไม่กระทบตลาด