ม.ล.ณัฐสิทธิ์ ดิศกุล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บาฟส์ (BAFS) เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนที่จะลงทุนเกี่ยวกับนํ้ามันอากาศยั่งยืน (SAF) เพิ่มเติมทั้งใน และต่างประเทศ โดยล่าสุดที่ไทยได้ดำเนินการร่วมกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น เพื่อวิจัยและพัฒนาการปลูกพืชปอป่า (Camelina) ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งพืชดังกล่าวสามารถนำเมล็ดมาบีบสกัดเป็นนํ้ามัน เพื่อส่งต่อให้กับโรงกลั่นได้
ทั้งนี้ ความคืบหน้าล่าสุดคือมีความชัดเจนแล้วว่า สามารถปลูกได้ที่ไทย โดยขั้นตอนต่อไปคือ การพัฒนาพันธุ์นำไปให้เกษตรกรปลูกในลักษณะเกษตรพันธสัญญา หรือคออนแทรคฟาร์มมิ่ง (Contract farming) ซึ่งเกษตรกรสามารถใช้ช่วงเวลาเว้นการเพาะปลูกระหว่างนาปีกับนาปังในการปลูกได้ เพราะใช้ระยะเวลาแค่ 90 วัน
หลังจากนั้นเมื่อต้นปอป่าเจริญเติบโตเต็มวัยก็จะเก็บเฉพาะเมล็ด ส่วนตัวต้นใช้วิธีการไถกลบ โดยจะทำให้ดินได้รับไนโตรเจนซึ่งเป็นการบำรุงดิน รวมถึงพักหน้าดินรอการปลูกข้าวในรอบต่อไป ซึ่งจะทำให้เกษตรกรมีรายได้เสริมระหว่างรอปลูก
เช่นเดียวกับที่ประเทศมองโกเลีย ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาเบื้องต้น ในการทำคอนแทคฟาร์มมิ่ง เพื่อเพาะปลูกพืชดังกล่าว เนื่องจากบริษัทไม่ได้มีความเชี่ยวชาญทางด้านเกษตร แต่รู้ว่าปอป่าเป็นพืชที่มีศักยภาพในการผลิตนํ้ามัน SAF ได้ โดยปัจจบันยังไม่ได้ตั้งเป้าด้านกำลังการผลิต เพียงแต่มุ่งในการต่อจิ๊กซอว์แรกด้านความเป็นไปได้ในการใช้นํ้ามัน SAF ของอุตสาหกรรมการบิน หลังจากนั้นจึงค่อยขยายต่อไปทีละขั้น
“บริษัทมีการหารือกับผู้ผลิตนํ้ามัน SAF จากประเทศจีน ซึ่งให้ความสนใจจะนำเข้านํ้ามันจากปอป่าที่มองโกเลีย เนื่องจากจีนมีนํ้ามันในการผลิต SAF ไม่เพียงพอ แม้ว่าจะรวมนํ้ามันพืชที่ใช้แล้วก็ตาม”
ทั้งนี้ ร่างแผนบริหารจัดการ นํ้ามันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2567-2580 (Oil Plan 2024) ที่จะบรรจุอยู่ภายใต้แผนพลังงานชาติ (National Energy Plan) ที่อยู่ระหว่างการจัดทำนั้น ได้ตั้งเป้าหมายการนำนํ้ามันปรุงอาหารใช้แล้ว (used cooking oil : UCO) นํ้ามันปาล์มดิบ โดยจะส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี Hydropro cessed Esters and Fatty Acids หรือ HEFA ผสมในนํ้ามันเครื่องบินสัดส่วน 1% ตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป และเพิ่มเป็น 2% ในปี 2571 แต่เนื่องจากนํ้ามันปรุงอาหารใช้แล้วภายในประเทศไม่เพียงพอ จำเป็นต้องส่งเสริมการผลิต SAF จากเทคโนโลยี Alcohol to Jet หรือ AtJ ที่ผลิตจากเอทานอลมาเสริม ซึ่งจะช่วยให้สัดส่วนการผสม SAF ในปี 2573 เพิ่มขึ้นที่สัดส่วน 3% และในปี 2576 เพิ่มเป็น 5% และจะเพิ่มเป็น 8% ในปี 2579 เป็นต้นไป
ม.ล.ณัฐสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียน หรือพลังงานสะอาดนั้น คาดว่าในปี 2569 น่าจะได้เห็นการให้บริการจ่ายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) เพิ่มมากขึ้น โดยสิ้นปี 2569 จะมีโรงไฟฟ้าในไทย COD ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ประมาณ 9.9 เมกกะวัตต์ที่เป็นพลังงานจากโรงไฟฟ้าขยะชุมชนที่สุราษฏร์ธานี โดยเป็นการร่วมทุนกับบริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท ลัคกี้ คลีน เอ็นเนอร์ยี่จำกัด ตั้งบริษัทร่วมทุนไบเซล เวสท์ เอ็นเนอร์ยี่
นอกจากนี้ ยังมีโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และลมที่มองโกเลีย COD ในปี 2569 อีก 2 โครงการ รวมกำลังผลิต 51 เมกะวัตต์ โดยบริษัทมองว่าประเทศดังกล่าวเป็นตลาดใหม่ รวมถึงมีความต้องการใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นจำนวนมาก และมีพื้นที่ในการทำโซลาร์ฟาร์ม
ขณะที่รัฐบาลก็มีนโยบายสนับสนุนโดยต้องการเพิ่มสัดส่วนของพลังงานหมุนเวียนให้ได้ 30% ภายในปี 2573อีกทั้งยังสนับสนุนให้ต่างชาติเข้าไปลงทุนโดยให้ค่าอัตราการรับซื้อไฟฟ้าที่สูงกว่าประเทศอื่น และมีการยายตัวทางเศรษฐกิจหรือจีดีพี (GDP) ปีละ 7%
อย่างไรก็ดี ในปี 2569 บริษัทยังมีแผนที่จะขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากมองว่าเป็นพลังงานสะอาดที่มีความเสี่ยงต่ำ สามารถบริหารจัดการได้ง่าย
มล.ณัฐสิทธิ์ กล่าวอีกว่า บริษัทยังตั้งเป้าจะมีส่วนแบ่งทางการตลาดในการให้บริการรถหัวลาก ซึ่งเป็นรถเติมนํ้ามันเชื้อเพลิงอากาศยาน (Aircraft Refuelling Vehicles) และรถให้บริการต่างๆ เป็นต้น ใน CLMV ของจำนวนรถที่วิ่งให้บริการอยู่ในสนามบินทั้งหมด โดยปัจจบุันบริษัทได้ขยายตลาดทั้งไทย กัมพูชา สปป.ลาว ส่วนเวียดนามคาดว่าจะสามารถเข้าไปทำตลาดได้ภายในปีนี้
สำหรับปัจจุบันบริษัทมีรถหัวลากที่ประกอบแล้วประมาณ 70 คัน โดยมีคำสั่งซื้อ หรือออเดอร์อีก 17 คัน ซึ่งคาดว่าจะสามารถส่งมอบได้ภายในปีนี้
“รถหัวลากของบริษัทมีจุดเด่นอยู่ที่ต้นทุนที่ถูกกว่าคู่แข่งจากประเทศในแถบยุโรป มีค่าขนส่งไม่มาก อีกทั้งยังการออกแบบที่พิถีพิถัน เข้าใจถึงสรีระของคนเอเชีย รวมถึงรับรู้ถึงความต้องการของผู้บริโภคในภูมิภาค และความปลอดภัยในการให้บริการ”