ม.ล.ณัฐสิทธิ์ ดิศกุล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บาฟส์ (BAFS) เปิดเผยว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาสร้างความผันผวนให้ตลาดมาก จากความไม่แน่นอนในนโยบาย ซึ่งเป็นแรงกดดันทำให้ภาคธุรกิจตัดสินใจไม่ถูกว่าจะต้องเดินไปอย่างไร
อย่างไรก็ดี หากวิเคราะห์ในสาขาที่บริษัทดำเนินธุรกิจยู่ มองว่ายังเป็นบวก เช่น ธุรกิจน้ำมันดั้งเดิม เพราะมีนโยบายชัดเจนในการสนับสนุนการขุดเจาะน้ำมันเพิ่มเติม ดังนั้น จะยืดระยะเวลาที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันและก๊าซเดิม เช่นโครงการท่อขนส่งน้ำมันที่ทำก็ช่วยยืดระยะเวลาในการเก็บเกี่ยว
ทั้งนี้ เมื่อมีปริมาณน้ำมันที่กลั่นเพิ่มในตลาดโลกจะทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกไม่สูง จึงทำให้ผู้โดยสารสาธารณะได้ประโยชน์ ทำให้การเดินทางโดยเครื่องบินถูกขึ้น ส่งผลให้ตั๋วเครื่องบินมีแรงกดดันน้อยลงจากเรื่องปัจจัยราคาน้ำมัน ดังนั้น ก็จะมาสู่ปริมาณน้ำมันที่บาฟส์ให้บริการ ซึ่งจะเห็นว่าช่วงนี้ปริมาณน้ำมันกลับมาค่อนข้างมาก
สำหรับประเด็นที่มองต่างจากผู้อื่นก็คือ การที่ทรัมป์คัดค้านเรื่องพลังงานสะอาด ไม่ต้องการโซลาร์ ลม ถือเป็นโออากสที่ประเทศไทยจะต้องไขว่คว้ามาให้ได้ นั้่นก็คือต้นทุนในการลงทุนพลังงานหมุนเวียน ซึ่งเวลานี้ถูกมากเพราะมีปริมาณล้นตลาด
ดังนั้น การที่จะลงทุนไปยังโครงการใหม่ทั้งในประเทศ และต่างประเทศจะได้ต้นทุนที่ถูกลง แต่ก็จะเป็นแค่ในระยะสั้นช่วงที่ทรัมป์ยังอยู่ในตำแหน่ง 4 ปี
หลังจากนั้นโลกก็จะปฏิเสธกระแสภาวะโลกร้อนไม่ได้ นั่นคือความจริงที่ยังอยู่ เพราะฉะนั้นทุกองค์ก็ต้องหันมาทำพลังงานสะอาดมากขึ้น ดังนั้นช่วงนี้คือช่วงระยะเวลาสั้นๆที่ต้องเก็บเกี่ยวให้ได้
“หากสามารถทำได้อย่างถูกต้อง ช่วงสี่ปีหลังจากนี้ จะเป็นช่วงที่พลิกวิกฤตเป็นโอกาสของไทย เพราะหลังจากนั้นไม่มั่นใจว่าอเมริกาจะตามทัน เพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วมาก โดยสี่ปีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องชีวภาพจะเปลี่ยนเร็วมาก ดังนั้น การที่ทรัมป์เข้ามาช่วยกระตุ้นให้บาฟส์เปลี่ยนแปลงได้เร็วขึ้น หรือเรียกว่ามีทั้งวิกฤติและโอกาสให้ได้กอบโกย ”