กองทุน Thai ESGX ทางเลือกใหม่ เพื่อการลงทุนอย่างยั่งยืน

15 มี.ค. 2568 | 08:00 น.

กองทุน Thai ESGX ทางเลือกใหม่การลงทุน ส่งเสริมความยั่งยืน ชูสิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุด 500,000 บาท เปิดให้โยกเงินจาก LTF และลงทุนใหม่ สมัครได้ พ.ค.-มิ.ย. 68 นี้

ตามที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการจัดตั้งกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thai ESGX) หรือเรียกว่ากองทุน “Thai ESG Extra” สำหรับรองรับเงินลงทุนของผู้ที่ถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่ปัจจุบันคงค้างอยู่ประมาณ 180,000 ล้านบาท

ที่จะเปิดโอกาสให้นักลงทุนโยกเงินจาก LTF มาอยู่ใน Thai ESGX โดยให้สิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุด 500,000 บาท แบ่งเป็นใช้สิทธิในปี 2568 จำนวน 300,000 บาท และทยอยลดหย่อนอีก 200,000 บาทที่เหลือในปีที่ 2-5 จำนวนปีละไม่เกิน 50,000 บาท

นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้นักลงทุนที่ต้องการซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน Thai ESGX เพื่อลดหย่อนภาษีเพิ่มเติม โดยสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 300,000 บาทในปี 2568 และถือเป็นวงเงินใหม่ ไม่ต้องนำไปนับรวมกับกองทุน Thai ESG ปกติ

พร้อมกันนี้ ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้เผยข้อมูลเพิ่มเติมว่า คาดจะสามารถเปิดให้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยื่นขออนุมัติจัดตั้งกองทุน Thai ESGX ได้ภายในเดือนเมษายน 2568 เพื่อเปิดให้ลงทุนได้ในระยะเวลา 2 เดือนที่กำหนด คือช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2568

กองทุน Thai ESGX คือ...

Thai ESGX คือ กองทุนรวมที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่งออกมาพิเศษเฉพาะปี 2568 นี้เท่านั้น เพื่อรองรับการสับเปลี่ยนจาก LTF และเงินลงทุนใหม่ ภายในช่วงระยะเวลา 2 เดือน พร้อมสนับสนุนมาตรการทางภาษีของภาครัฐให้ได้รับประโยชน์คุ้มค่ายิ่งขึ้น

อีกทั้งเป็นการส่งเสริม responsible investment และสนับสนุนความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนและตลาดทุนไทยในระยะยาว โดยเงื่อนไขสินทรัพย์ที่สามารถลงทุนได้ของ Thai ESGX จะใช้ตามหลักเกณฑ์เดียวกับ Thai ESG ซึ่งลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีคุณสมบัติด้านความยั่งยืน ไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV

แต่ Thai ESGX จะมีข้อกำหนดเพิ่มเติมว่าต้องลงทุนในหุ้นยั่งยืน ไม่น้อยกว่า 65% ของ NAV ด้วย ในขณะที่ส่วนเงินลงทุนอื่นๆ อาทิ เงินสด หรือหลักทรัพย์ต่างประเทศนั้น ทางกองทุน Thai ESGX ก็เปิกให้สามารถลงทุนได้ไม่เกิน 20% ของ NAV

ประเภทสินทรัพย์ที่ Thai ESGX ต้องลงทุนไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ประกอบด้วย

  • หุ้นกลุ่มความยั่งยืนใน SET หรือ mai ไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของ NAV
  • ตราสารหนี้ในกลุ่มความยั่งยืน
  • โทเคนดิจิทัลเพื่อส่งเสริมความยั่งยืน

Thai ESGX ลดหย่อนภาษีเท่าไร...

สิทธิประโยชน์และเงื่อนไขการลดหย่อนภาษีของกองทุน Thai ESGX แบ่งวงเงินลดหย่อนออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่

  1. วงเงินสำหรับการลงทุนใหม่ที่ซื้อ Thai ESGX ในปี 2568 ลดหย่อนได้สูงสุด 300,000 บาท และไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน
  2. วงเงินสำหรับผู้ลงทุนที่โยก LTF มาเข้า Thai ESGX ลดหย่อนได้สูงสุด 500,000 บาท แบ่งเป็น
  • ปีที่ 1 (2568) : สูงสุด 300,000 บาท
  • ปีที่ 2 – 5 : สูงสุดปีละ 50,000 บาท

โดยวงเงินลดหย่อนภาษีทั้ง 2 ส่วนดังกล่าวของ Thai ESGX จะไม่ถูกนับรวมกับกองทุน Thai ESG ปกติ สำหรับระยะเวลาถือครอง Thai ESGX นั้น กำหนดระยะเวลาถือครองไม่ต่ำกว่า 5 ปี นับแบบวันชนวัน ตั้งแต่วันเริ่มต้นลงทุน หรือตั้งแต่วันที่แจ้งสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน

อย่างไรก็ตาม หากนักลงทุนที่ถือหน่วยลงทุนใน LTF เดิมไม่ต้องการสับเปลี่ยนมาเป็นกองทุนใหม่ Thai ESGX หน่วยการลงทุนเดิมจะยังคงอยู่ในการบริหารจัดการของ บลจ. ต่อไป และไม่ได้มีการบังคับให้ผู้ถือหน่วยลงทุน LTF ต้องเปลี่ยนมาเป็นกองทุน Thai ESGX และภายหลังจากหมดช่วงสับเปลี่ยน LTF จะถูกเปลี่ยนเป็นกองทุนผสม โดยมีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นไทย ไม่น้อยกว่า 65% ของ NAV และจะเปิดขายให้เหมือนกองทุนรวมทั่วไปแทน

ขณะที่ทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้เปิดเผยรายชื่อหุ้นจำนวน 242 บริษัท สำหรับกองทุน Thai ESG และ Thai ESGX ซึ่งประกอบด้วยรายชื่อหุ้นยั่งยืน (SET ESG Ratings) จำนวน 228 บริษัท และหุ้นไทยที่มีการเปิดเผยข้อมูลก๊าซเรือนกระจก 14 บริษัท ดังนี้

SET ESG Ratings 4 ระดับ
กลุ่ม AAA จำนวน 56 บริษัท
กลุ่ม AA จำนวน 80 บริษัท
กลุ่ม A จำนวน 71 บริษัท
กลุ่ม BBB จำนวน 21 บริษัท

ตลาดเปิดรายชื่อหุ้น 242 บริษัทติดโผหุ้นยั่งยืน

โดยแยกตามกลุ่มอุตสาหกรรม พบว่า ธุรกิจบริการ มีสัดส่วน 47% ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง มีสัดส่วน 38% ธุรกิจสินค้าอุตสาหกรรม มีสัดส่วน 35% ธุรกิจการเงิน มีสัดส่วน 33% ธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร มีสัดส่วน 29% ธุรกิจทรัพยากร มีสัดส่วน 29% ธุรกิจเทคโนโลยี มีสัดส่วน 21% และธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค มีสัดส่วน 10%

กองทุน Thai ESGX ทางเลือกใหม่ เพื่อการลงทุนอย่างยั่งยืน

ทำไมต้องออก Thai ESGX

ช่วยประคองตลาดหุ้นไทยในช่วง LTF ครบกำหนดในปี 2568 นี้ โดย LTF ทั้งหมด ครบกำหนดการถือครอง นักลงทุนจึงมีสิทธิขายหน่วยลงทุนออกมาได้อย่างอิสระ ซึ่งได้ส่งผลกระทบให้มีแรงเทขายสูงในตลาดหุ้นไทยและกระทบสภาพคล่องโดยรวม (ปัจจุบัน LTF ที่ยังคงเหลืออยู่รวม 1.88 แสนล้านบาท ข้อมูลจาก AIMC ณ สิ้นม.ค. 2568)

อีกทั้งยังเป็นการต่อยอดแนวทางการลงทุนอย่างยั่งยืน โดยภาครัฐ และ ก.ล.ต.  ต้องการส่งเสริมให้เกิดการลงทุนที่คำนึงถึงมิติด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ซึ่งเป็นเทรนด์การลงทุนระดับโลกและมองว่าอาจสร้างความยั่งยืนในระยะยาวทั้งต่อบริษัทและตลาดทุนไทย

ขณะเดียวกันก็ยังเพิ่มสิทธิประโยชน์ด้านภาษีเพื่อดึงดูดนักลงทุน การให้สิทธิประโยชน์ภาษีเพิ่มเติมช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันหันมาให้ความสนใจโอนเงินจาก LTF เดิมหรือใส่เงินใหม่เข้าสู่กองทุน ESG มากขึ้น เป็นการผสานเป้าหมายการประคองตลาดหุ้นและขับเคลื่อนแนวคิด ESG ควบคู่กัน