ศูนย์วิจัยกสิกรไทยรายงานยอดการปล่อยสินเชื่อเดือนม.ค.68 หดตัว 1.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และหดตัวต่อเนื่องจากเดือนธ.ค.67 ที่หดตัว 0.66% ท่ามกลางความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่เงินฝากยังขยายตัวต่อเนื่องแม้จะอัตราไม่สูงที่ 1.60% เพิ่มขึ้นจากเดือนธ.ค.67 ที่ขยายตัว 1.40%
ขณะที่กลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่มีนัยต่อความเสี่ยงเชิงระบบในประเทศหรือ Domestic Systemically Important Banks:D-SIBs ทั้ง 6 แห่ง ตอบสนองการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หลังคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)เมื่อ 26 กุมภาพันธ์มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25%ต่อปี จาก 2.25% เป็น 2.00%ต่อปี
โดยกลุ่ม D-SIBs ทั้ง 6 แห่ง ทยอยปรับลดดอกเบี้ยทั้งดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (MLR) และ อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) โดยรวมเป็นการปรับลดดอกเบี้ยลงในอัตรา 0.10-0.25%
ขณะที่ธนาคารกรุงเทพและไทยพาณิชย์ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดชำระด้วย ส่วนอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตยังอยู่ที่ 16.00%ต่อปี
นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทยเปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ผลต่อการส่งผ่านดอกเบี้ยนโยบายสู่ระบบนั้น ปกติจะช่วยลดภาระหนี้เป็นอันดับแรก
ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า จะช่วยลดภาระดอกเบี้ยของลูกหนี้รายย่อยและลูกหนี้ธุรกิจราวประมาณ 7,300-7,500 ล้านบาท คิดเป็น 1.0-1.2% ของประมาณการรายได้ดอกเบี้ยสุทธิปี 2568
“ส่วนผลต่อการจับจ่ายใช้สอยหรือ การลงทุนเพิ่มหรือ การขยายตัวของสินเชื่อใหม่ๆนั้น ยังไม่เห็นชัดเจน ซึ่งจะต้องใช้เวลาอีกระยะจึงยังไม่สะท้อนถึงทำให้เศรษฐกิจกลับมาคึกคัก ซึ่งในแง่สถาบันการเงินยังคงเข้มงวดต่อการอนุมัติสินเชื่อ”
สำหรับมุมมองของศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2568 ที่ระดับ 2.4% ซึ่งปัจจุบันระดับดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.0%นั้น ยังมีโอกาสจะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายอย่างน้อย 1ครั้งในปีนี้ เพราะอัตราเงินเฟ้อยังต่ำ ตลาดทุนยังมีปัญหาดีมานด์ในประเทศค่อนข้างอ่อนแอ
ทั้งด้านการผลิต ด้านก่อสร้าง หดตัว/ชะลอตัว ทำให้ภาพรวมของเศรษฐกิจค่อนข้างแผ่ว จึงมองว่า ยังมีรูมที่จะปรับลดดอกเบี้ยลงได้อีก เพื่อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจขยับขึ้นมาได้ ซึ่งผลจะเป็นอย่างไร คงต้องรอกนง.จะส่งสัญญาณในระยะต่อไป
“ผลต่อการฟื้นตัวของสินเชื่อยังต้องใช้เวลา เพราะสถาบันการเงินยังเข้มงวดในการอนุมัติ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยเป็น 1 ในปัจจัยที่จะส่งผลต่อการขยายตัวของสินเชื่อใหม่ แต่ต้องรอแรงหนุนจากปัจจัยอื่นๆ โดยเฉพาะจังหวะการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่จะมีผลต่อการเบิกใช้สินเชื่อ รวมถึงต้องคำนึงถึงความสามารถในการกู้หรือการชำระคืนของผู้กู้ด้วย ดังนั้น มาตรการกระตุ้นยังมีความจำเป็น”
นายศรัณย์ ทองธรรมชาติ นายกสมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทยกล่าวกับ“ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ส่วนตัวมองว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในระบบเป็นเพียง 1 ในหลายปัจจัยที่จะมีผลต่อความต้องการสินเชื่อใหม่ โดยเฉพาะปัจจัยหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจและเงินเฟ้อ
ซึ่งอาจต้องใช้เวลาทั้งปีในการดูพัฒนาการของแต่ละปัจจัย ดังนั้นเชื่อว่า ภาพรวมสถาบันการเงินหรือไฟแนนซ์ยังระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อใหม่
“การปรับลดดอกเบี้ยลงช่วยบรรเทาภาระหนี้และต้นทุนของผู้ประกอบการบ้าง ส่วนผลต่อการขยายตัวของสินเชื่อใหม่ คงต้องใช้เวลาอีกระยะ เพราะยังมีปัจจัยอื่นที่ยังเป็นลบ ทำให้เห็นสัญญาณการเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่ออยู่”นายศรัณย์กล่าว
ท่ามกลางปัจจัยลบ ทั้งความกังวลต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล)ที่ยังทรงๆ ทำให้สถาบันการเงินเจ้าหนี้ยังคงเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อใหม่ ขณะที่หนี้ครัวเรือนยังเป็นปัจจัยเชิงลบ เพราะความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ยังไม่ดีนัก แถมยังมีความไม่เชื่อมั่นจากผลกระทบจากต่างประเทศ เช่น ผลกระทบจากมาตรการจัดเก็บภาษีของสหรัฐอเมริกา
ต่อข้อถามว่า ดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.00%สอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่ 3.0-3.5% ต่อปีหรือไม่ นายสงวน จุงสกุล ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ผู้บริหารฝ่าย Investment market Research สายธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคาร กรุงไทยกล่าวว่า เนื่องจากไทยใช้นโยบายเป้าหมายเงินเฟ้อ หรือ Inflation Targeting
ดังนั้น การกำหนดดอกเบี้ยนโยบาย จึงสะท้อนเงินเฟ้อมากกว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ตลาดจึงนิยมนำดอกเบี้ยนโยบายมาเทียบกับอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งได้ตัวเลขดังนี้คือ
นับจากปี 2551 ที่ไทยเริ่มมีดอกเบี้ยนโยบายอ้างอิง R/P 1วัน ดอกเบี้ยนโยบายจะสูงกว่าเงินเฟ้อโดยเฉลี่ย 0.13% ในช่วงเดียวกัน ถ้าตัดช่วงปี 2563-2565 ออก ส่วนต่างดังกล่าวจะอยู่ที่ 0.49%
ปัจจุบันไทยมีกรอบเป้าหมายเงินเฟ้ออยู่ที่ 1-3% ถ้าใช้ค่ากลางที่ 2.0% และดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 2.0% ดังนั้นส่วนต่างดังกล่าวเป็น 0 ซึ่งถือว่า มีความเหมาะสม อัตราดอกเบี้ยที่ 2.0%ไม่ได้สูงเกินไป
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า กรอบเงินเฟ้อ 1-3% ไม่ได้มีความหมายเชิงปฏิบัติจริง แม้ไทยจะผ่านพ้นวิกฤตโควิดมาแล้ว นับจากปี 2566 เป็นต้นมา เงินเฟ้อเฉลี่ยของไทยไม่ถึง 1%
ดังนั้น รวมทั้งเงินเฟ้อคาดการของธปท.ก็อยู่ราว 1.0% หากใช้เงินเฟ้อคาดการที่ 1.0% ก็จะได้ส่วนต่างดังกล่าว 1.0% (คำนวณจาก 2.0%-1.0%) ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตมาก
“หากใช้ตัวเลขในอดีตเป็นข้อมูลอ้างอิง จึงไม่แปลกที่ตลาดเชื่อว่า ดอกเบี้ยนโยบายที่เหมาะสม น่าจะไปอยู่ที่ 1.50% มากกว่า หรืออย่างน้อยก็ 1.75% ปัจจุบันตลาดมั่นใจ 100% ว่า จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งสู่ 1.75% ในเดือนมิ.ย. มีบางสำนักมองต่ำที่สุดคือ 1.25%”
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,079 วันที่ 16 - 19 มีนาคม พ.ศ. 2568