ตลาดหุ้นไทยที่ปักหัวลงอย่างต่อเนื่องจนหลุดระดับ 1,200 จุด ดัชนี SET Index จากต้นปีลดลงไปแล้วกว่า 14% มูลค่ามาร์เก็ตแคปหายไปเกือบ 200,000 ล้านบาท นอกจากความกังวลเศรษฐกิจสหรัฐ ที่มีโอกาสเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) จากนโยบายการค้าของสหรัฐ ที่ยังมีความไม่แน่นอน เกี่ยวกับการเดินหน้าสงครามการค้าของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐแล้ว
ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยคือ ปัจจัยภายในประเทศที่ไม่เอื้ออำนวย ทั้งปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจ ที่ยังพึ่งพาการผลิตแบบดั้งเดิม ส่งผลให้ศักยภาพเศรษฐกิจของไทยเติบโตตํ่า เกือบเป็นอันดับที่แย่ที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน และยังถูกซํ้าเติมจากปัญหาในตลาดหุ้นเอง จากการขาดธรรมาภิบาลของบริษัทจดทะเบียน(บจ.) ขนาดใหญ่ จนกระทบกับความเชื่อมั่น
ซํ้าร้ายหน่วยงานกำกับดูแล ไม่ว่าจะเป็นระดับการกำกับดูแลโดยตรงอย่าง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ก.ล.ต.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กระทรวงการคลัง หรือ แม้แต่รัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเอง ที่ไม่มีมาตรการใดๆ ถูกผลักดันให้มีผลบังคับใช้ เพื่อกอบกู้ตลาดหุ้นให้กลับมาได้
แม้ล่าสุดคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบการจัดตั้งกองทุน Thai ESGX เพื่อรับโอนกองทุนหุ้นระยะยาว หรือ LTF ที่ครบกำหนดไถ่ถอนหน่วยลงทุนประมาณ 1.8 แสนล้านบาท ที่เป็นแรงขายกดดันตลาดหุ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยให้สิทธินักลงทุนที่โอน LTF เป็น Thai ESGX สามารถลดหย่อนภาษีได้ 5 แสนบาท โดยปีแรก หรือ ปี 2568 ลดหย่อนภาษีได้ 3 แสนบาท และปีต่อไป ปีละ 50,000 บาท แต่ก็ทำให้ตลาดหุ้นเด้งขึ้นได้แค่วันเดียว จากนั้นหุ้นไทยก็ยังไหลต่อเนื่องไปตํ่าสุดที่ระดับ 1,160 จุด
เรียกได้ว่า หุ้นไทยยังไม่สามารถเรียกความเชื่อมั่นให้ฟื้นกลับมาได้ แต่ที่น่าจับตาคือ กระทรวงการคลังเตรียมที่จะออกพระราชกำหนด(พ.ร.ก.) เพื่อให้อำนาจคณะกรรมการ ก.ล.ต. ดำเนินการสอบสวนคดีอาญา และลงโทษผู้กระทำผิด ในการปั่นหุ้น หรือ กระทำการไม่เป็นธรรมในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อลดความเสียหายของประชาชน และเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน
นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่เป็นการออก พ.ร.ก.เพิ่มอำนาจให้หน่วยงานราชการ ในรัฐบาลที่มาจาการเลือกตั้ง จากอดีตที่เราจะพบเห็นการเพิ่มอำนาจในลักษณะนี้ในรัฐบาลที่มาจากรัฐประหารเท่านั้น
สำหรับการออก พ.ร.ก.ดังกล่าว นายพิชัย ชุณหวิชร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า ดำเนินการได้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 172 ที่บัญญัติว่า ในกรณีเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือ ป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะพระมหากษัตริย์จะทรงตรา พ.ร.ก. ให้ใช้บังคับดังเช่น พ.ร.บ.ก็ได้
หน้า 6 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจปีที่ 45 ฉบับที่ 4,079 วันที่ 16 - 19 มีนาคม พ.ศ. 2568