เศรษฐกิจไทยภายใต้สงครามการค้า

08 มี.ค. 2568 | 06:30 น.

เศรษฐกิจไทยภายใต้สงครามการค้า : บทบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4077

สงครามการค้าเริ่มปะทุเดือน หลัง นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ากับแคนาดาและเม็กซิโก 25% และการขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน เพิ่มเป็น 20% มีผลตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2568 เป็นต้นมา ส่งผลให้ตลาดการเงินทั่วโลกปั่นป่วน หุ้นร่วงหนัก

ขณะที่จีนสวนกลับตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้า ที่นำเข้ามาจากสหรัฐอเมริกา 10-15% กับสินค้าบางรายการตั้งแต่ วันที่ 10 มีนาคม 2568 นี้ เป็นต้นไป ส่วนแคนาดาประกาศตอบโต้ทันที ด้วยการเก็บภาษี 25% กับสินค้าสหรัฐฯ เช่นเดียวกับเม็กซิโก ที่กำลังจะมีมาตรการตอบโต้ตามมา

ส่วนไทยเอง ซึ่งเป็นประเทศที่ได้ดุลการค้าจากสหรัฐอเมริกาอยู่ในลำดับที่ 11 ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน จากการประกาศขึ้นภาษีบางรายการเช่น สินค้าเหล็กและอลูมิเนียม ที่จะปรับขึ้นภาษี ในวันที่ 12 มีนาคมนี้ ในอัตรา 25% ขณะที่สินค้ารถยนต์ ยา เซมิคอนดักเตอร์ ประกาศจ่อขึ้นมาภาษี 25 % ตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2568 ส่วนสินค้าอื่นๆ ยังรอว่าสหรัฐฯ จะประกาศขึ้นภาษีกับประเทศใดบ้างและกลุ่มสินค้าใดบ้างต่อไป

การประกาศขึ้นภาษีของทั้ง 2 ยักษ์ใหญ่โลก ผลกระทบที่เกิดขึ้นย่อมแผ่ขยายเป็นวงกว้างตามความเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทานโลก ไม่ว่าจะผ่านผลกระทบทางอ้อมของการขึ้นภาษี การย้ายฐานการผลิตจากจีน การส่งออกเพื่อทดแทนนำเข้าสินค้าจากจีนและสหรัฐฯโดยเฉพาะการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา จะส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อภายในประเทศ ราคาสินค้าจะปรับตัวสูงขึ้น และจะกระทบต่อการบริโภคภายในประเทศ หรือฉุดกำลังซื้อภายในประเทศลง

ผลกระทบจากสงครามการค้าที่เกิดขึ้นครั้งนี้ สินค้าที่ส่งออกจากไทยไปสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดใหญ่อันดับหนึ่งของไทย ก็จะลดลงตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขณะที่สินค้าจากจีน ซึ่งถูกกีดกันจากสหรัฐฯ จะทะลักเข้ามาตีตลาดไทยมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตภายในประเทศเป็นระลอก ที่ไม่สามารถแข่งขันสินค้าราคาถูกจากจีนได้

มีการมองว่า ผลจากสงครามการค้า อาจจะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ หรือ GDP ของไทยในปี 2568 จากที่รัฐบาลประเมินว่า จะขยายตัวได้มากว่า 3% ส่วนสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประเมินว่า จะขยายตัว 2.3-3.3% เนื่องจากการส่งออก ซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) อาจจะหดตัวลงจากปีก่อน

ขณะที่การพึ่งพาภาคการท่องเที่ยว ก็ต้องไปลุ้นอีกว่า จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาได้ตามเป้าหมายที่ 39 ล้านราย สร้างรายได้ 3.5 ล้านล้านบาท หรือไม่ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ที่ขณะนี้เริ่มเบนเข็มไปเที่ยวญี่ปุ่น และ เกาหลีใต้ แทน

อีกทั้ง ยังมีปัจจัยอื่นๆ มาสนับสนุนอีก ไม่ว่าจะเป็นการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ความยืดเยื้อของสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาค ปัญหาภาระหนี้สินครัวเรือนและภาคธุรกิจ ที่อยู่ในระดับสูง ฉุดการบริโภคภายในประเทศ เป็นต้น

ดังนั้น การตั้งรับของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรฐกิจภายในประเทศ จึงถือเป็นสิ่งสำคัญ ว่าจะสามารถฟันฝ่ามรสุมที่เกิดขึ้นครั้งนี้ไปได้มากน้อยเพียงใด และจะสามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศกลับมาเหมือนที่ประเมินไว้ได้หรือไม่ 

หน้า 6 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจปีที่ 45 ฉบับที่ 4,077 วันที่ 9 - 12 มีนาคม พ.ศ. 2568