“บีโอไอ” ดันผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยป้อนยักษ์ EV จีนสร้างมูลค่าเศรษฐกิจ 2 พันล้าน

26 ก.พ. 2568 | 13:33 น.
อัปเดตล่าสุด :26 ก.พ. 2568 | 13:33 น.

บีโอไอดันผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยป้อนยักษ์ EV จีน เชื่อมโยงซัพพลายเชน สร้างเครือข่าวความร่วมมือ ยกระดับไทยก้าวสู่ฐานผลิตระดับโลก สร้างมูลค่าเศรษฐกิจกว่า 2 พันล้านบาท

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ (BOI) เปิดเผยว่า ได้ดำเนินการจัดหาชิ้นส่วนยานยนต์จากผู้ผลิตในประเทศ สำหรับสายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า หรืออีวี (EV) หลังจากที่กลุ่ม Chery Automobile เลือกไทยเป็นฐานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชนิดพวงมาลัยขวา เพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปยังภูมิภาคอาเซียน ออสเตรเลีย และตะวันออกกลาง 

โดยได้ดำเนินการร่วมกับโอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) บริษัทในเครือของ Chery Automobile ผู้ประกอบการยานยนต์พลังงานใหม่จากประเทศจีน และธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) จัดงกิจกรรม OMODA & JAECOO Sourcing Day 

ทั้งนี้ Chery เป็นหนึ่งในบริษัทรถยนต์พลังงานใหม่ที่มีการเติบโตของยอดขายและยอดส่งออกสูงที่สุดจากประเทศจีน มีผู้ใช้งานกว่า 14 ล้านคน ในกว่า 50 ประเทศทั่วโลก 

บีโอไอดันผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยป้อนยักษ์ EV จีนสร้างมูลค่าเศรษฐกิจ 2 พันล้าน สำหรับแผนธุรกิจในประเทศไทย จะดำเนินการภายใต้บริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) จำกัด โดยได้ตัดสินใจใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตหลักสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV พวงมาลัยขวาแห่งเดียวในอาเซียน เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาด EV ทั้งในประเทศไทยและเป็นฐานในการส่งออก 

 

ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมติดตั้งสายการผลิตที่โรงงานในจังหวัดระยอง โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มผลิตได้ในเดือนสิงหาคม 2568 ด้วยกำลังการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV สูงสุดในเฟสแรก 50,000 คันต่อปี และมีแผนจะลงทุนผลิตแบตเตอรี่ในขั้น Pack Assembly ในประเทศไทยในอนาคต

โอโมดา แอนด์ เจคู มุ่งช่วยสร้างซัพพลายเชนในไทยให้มีความพร้อมรองรับการเป็นฐานการผลิตรถยนต์ของบริษัทอย่างครบวงจร โดยตั้งเป้าใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ 45-50% ภายในปีนี้ และเพิ่มเป็น 70 - 80% ภายใน 5 ปีข้างหน้า 

“OMODA & JAECOO Sourcing Day บริษัทตั้งเป้าจัดซื้อชิ้นส่วนรถยนต์จำนวนมากจากผู้ผลิตในประเทศ โดยเฉพาะใน 6 กลุ่มชิ้นส่วนสำคัญ ได้แก่ Interior, Exterior, Electrical, Chassis, New Energy และ Powertrain โดยมีผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศเข้าร่วมงาน 370 คน จาก 200 บริษัท และมีการเจรจาจับคู่ธุรกิจเป็นรายบริษัทกับผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศ จำนวน 50 บริษัท คาดว่าจะเกิดมูลค่าซื้อขายชิ้นส่วนกว่า 2,100 ล้านบาท”

นายนฤตม์ กล่าวอีกว่า กิจกรรมดังกล่าวจะช่วยผลักดันการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ ผ่านการเชื่อมโยงผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยกับบริษัทชั้นนำจากต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการไทยสามารถเข้าถึงซัพพลายเชนระดับโลก และเกิดการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการผลิต การจัดการ การถ่ายทอดเทคโนโลยี และอาจนำไปสู่การเป็นพันธมิตรทางธุรกิจหรือการร่วมทุนกันในอนาคต และช่วยยกระดับผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก

“ปี 68 บีโอไอมีแผนจัดกิจกรรมดังกล่าวให้กับกลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วนอีกหลายราย เช่น ZF AUTOMOTIVE และ PACCAR เป็นต้น”