World Bank เตือน SME ไทย เร่งใช้เทคโนโลยี ดันเศรษฐกิจยุคใหม่

28 ก.พ. 2568 | 07:42 น.

ธนาคารโลก เผยเศรษฐกิจไทยปี 67 ฟื้นช้า แต่ยังมีโอกาสโตต่อเนื่องในปี 68 แนะ SME-สตาร์ทอัพ เร่งนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ เพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน ปรับตัวให้เข้ากับมาตรฐาน ESG และใช้ประโยชน์จากห่วงโซ่อุปทานโลก ชี้ภาครัฐควรสนับสนุนเงินทุนและพัฒนาทักษะดิจิทัลแรงงานไทย 

ธนาคารโลก (World Bank) รายงานภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 2567 กำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัว แม้ว่าการเติบโตจะดีกว่าการคาดการณ์เล็กน้อย โดยธนาคารโลกระบุว่าอัตราการขยายตัวของ GDP อยู่ที่ 2.6% โดยได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ เช่น โครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท และการฟื้นตัวของภาคส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม การบริโภคภาคเอกชนยังคงซบเซา เนื่องจากภาวะหนี้ครัวเรือนที่สูง และมาตรการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยยังเติบโตช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน

World Bank เตือน SME ไทย เร่งใช้เทคโนโลยี ดันเศรษฐกิจยุคใหม่

สำหรับปี 2568 ธนาคารโลกประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 2.9% โดยได้รับแรงส่งจากการลงทุนภาครัฐและการดำเนินโครงการโครงสร้างพื้นฐานหลายโครงการ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะจากจีนและสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทย ขณะที่การแข่งขันทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศยังคงเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ

รายงานของธนาคารโลกระบุว่า หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืน คือการเร่งสนับสนุนให้ SME และสตาร์ทอัพปรับตัวสู่ยุคดิจิทัล โดยนำเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เนื่องจากปัจจุบัน SME ไทยยังมีการใช้เทคโนโลยีในระดับต่ำ เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียและเวียดนาม ซึ่งมีการนำระบบอัตโนมัติ (Automation) และการใช้ Big Data มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุน

แม้ที่ผ่านมา การลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ของภาคเอกชนไทยเพิ่มขึ้น โดยคิดเป็น 74% ของงบ R&D ทั้งหมดในปี 2564 ซึ่งเป็นการเติบโตที่สูงขึ้นจากอดีต แต่การพัฒนาเทคโนโลยียังคงกระจุกตัวอยู่ในบริษัทขนาดใหญ่ ขณะที่ SME และสตาร์ทอัพยังขาดโอกาสเข้าถึงทรัพยากรด้านนี้ เงินทุนยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ โดยเฉพาะเงินลงทุนในรูปแบบ Venture Capital (VC) ซึ่งในไทยมีสัดส่วนเพียง 0.14% ของ GDP ต่ำกว่าหลายประเทศในภูมิภาค รวมถึงสิงคโปร์และอินโดนีเซีย ขณะที่กฎระเบียบด้านการลงทุนของไทยก็ยังไม่เอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจเทคโนโลยีใหม่ๆ

นอกจากปัญหาเงินทุนแล้ว การขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะสูงด้านเทคโนโลยี ก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทายสำคัญ โดยเฉพาะแรงงานที่มีความเชี่ยวชาญในสาขา ปัญญาประดิษฐ์ (AI), Big Data, Internet of Things (IoT), และ Cloud Computing ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถของ SME และสตาร์ทอัพ หากธุรกิจเหล่านี้ไม่สามารถเข้าถึงบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในด้านเหล่านี้ได้ ก็อาจกลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเติบโตในระยะยาว

รายงานของธนาคารโลกระบุว่า ประเทศไทยยังมีศักยภาพสูงในการเป็นศูนย์กลางของห่วงโซ่อุปทานโลก (Global Value Chain - GVC) โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม ธุรกิจ SME ต้องเร่งปรับตัวให้เข้ากับมาตรฐานใหม่ เช่น การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในกระบวนการผลิต และการดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกับแนวทางด้านความยั่งยืน (ESG) เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก
 แม้ว่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยให้ก้าวหน้า แต่ข้อมูลของธนาคารโลกระบุว่า FDI ที่ไหลเข้าสู่ประเทศไทยยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง เช่น เวียดนามและอินโดนีเซีย ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไทยเสียโอกาสในการดึงดูดการลงทุน คือกฎระเบียบที่ยังไม่เอื้อต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีและดิจิทัล รวมถึงข้อจำกัดด้านการลงทุนที่ยังมีอยู่ เพื่อให้ SME และสตาร์ทอัพสามารถปรับตัวได้เร็วขึ้น และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในตลาดโลก

ธนาคารโลกเสนอให้ภาครัฐเร่งออกมาตรการสนับสนุนอย่างจริงจัง ได้แก่ การเพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี เพื่อให้ SME สามารถใช้ Smart Manufacturing และ Digital Transformation ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต นอกจากนี้ ควร พัฒนาโครงการบ่มเพาะธุรกิจ (Incubation) และโครงการเร่งการเติบโต (Acceleration) เพื่อช่วยสนับสนุนธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพ และเพิ่มช่องทางการเข้าถึงเงินทุนให้กับสตาร์ทอัพ

ขณะเดียวกัน การพัฒนาแรงงานดิจิทัลเป็นสิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการ ภาครัฐควรส่งเสริมหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับ AI, Big Data, Blockchain และ Cloud Computing เพื่อให้แรงงานไทยมีความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีในอนาคต

แม้เศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน แต่หากภาครัฐสามารถส่งเสริมให้ SME และสตาร์ทอัพปรับตัวได้เร็วขึ้น และมีมาตรการสนับสนุนที่ตรงจุด ไทยจะสามารถก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจเทคโนโลยีของอาเซียน และรักษาความสามารถในการแข่งขันได้ในระยะยาว