ครม.ส่งหนังสือรอบ 2 จี้กนง.ลดดอกเบี้ย ดึงเฟ้อเข้ากรอบ 1-3%

25 ก.พ. 2568 | 17:02 น.
อัปเดตล่าสุด :25 ก.พ. 2568 | 17:02 น.

ครม.ส่งหนังสือตรงถึงธปท.อีกรอบ บี้หั่นดอกเบี้ยนโยบายลง หวังช่วยดึงเงินเฟ้อไทยขยับเข้ากรอบ 1-3% หลังอยู่ระดับต่ำมากและนานเกินไป กระทุ้งประสานนโยบายการเงินขการคลัง เพิ่มประสิทธิภาพขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 25 ก.พ. 2568 ได้ส่งหนังสือโดยตรงถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อแสดงความเห็นเกี่ยวกับการทำนโยบายการเงินว่า จะต้องคำนึงถึงเป้าหมายกรอบเงินเฟ้อที่ 1-3% รวมถึงต้องสอดคล้องกับนโยบายทางการคลังด้วย เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง

“ยอมรับว่า รัฐบาลคาดหวังว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) 26 ก.พ.นี้ จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ซึ่งหากเป็นไปในทิศทางดังกล่าว ก็น่าจะเป็นสัญญาณที่ดี”

ส่วนจะปรับลดลงเท่าไหร่จึงจะเพียงพอ ทำให้อัตราเงินเฟ้อของประเทศปรับเข้าสู่กรอบเป้าหมายที่ 1-3% นั้น ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้รับผิดชอบที่จะพิจารณา โดยมองว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องค่อยเป็นค่อยไป ต้องดูหลาย ๆ ปัจจัยในขณะนั้นประกอบ เช่น เมื่อปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงแล้วอัตราเงินเฟ้อเป็นอย่างไร อัตราแลกเปลี่ยนเป็นอย่างไร และการเติบโตของเศรษฐกิจเป็นอย่างไร

นายเผ่าภูมิกล่าวว่า การส่งหนังสือถึงธปท.ครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 2 ที่รัฐบาลส่งความเห็นของครม. ตรงถึง ธปท. เกี่ยวกับการทำนโยบายการเงิน ที่จะต้องสอดคล้องกับกรอบเงินเฟ้อ สอดคล้องกับนโยบายการคลัง ไม่ใช่ว่านโยบายการคลังขาเดียว จะสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างมีพลัง ดังนั้นทั้ง 2 ขาต้องช่วยกัน 

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยแต่ละครั้ง มีส่วนสำคัญและเป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจค่อนข้างเยอะ โดยช่วยให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ทำให้เศรษฐกิจเคลื่อนตัวได้ มีผลต่ออัตราแลกเปลี่ยน การขยับอัตราเงินเฟ้อ เนื่องจากนโยบายการเงินมีขนาดใหญ่ ดังนั้นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยแต่ละครั้งจึงมีผลบวกต่อเศรษฐกิจค่อนข้างมาก

 

ส่วนกรณีที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ แนะให้ กนง. คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ เพื่อเป็นการเก็บกระสุนนโยบายการเงินสำหรับรองรับความผันผวนทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตนั้น ปัจจุบันช่องว่างของนโยบายทางการเงินของไทยยังเหลือเฟือ ยังไม่ต้องประหยัดมาก จึงยังมีช่องว่างเพียงพอที่จะสามารถลดอัตราดอกเบี้ยลงได้อีก

ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาถึงอัตราเงินเฟ้อของไทยในปัจจุบันซึ่งอยู่ในระดับต่ำมานาน และยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย เป็นข้อเท็จจริงที่ต้องยอมรับว่าเงินเฟ้อของไทยต่ำมาก และต่ำเกินไป

“ช่องว่างนโยบายการเงินของเรายังเหลือเฟือ ยังไม่ต้องประหยัดมาก ที่ผ่านมาเราชอบทำอะไรกันช้าไป แล้วมาทำกันทีหลัง ผลมันก็จะไม่ทันการ”

ส่วนการจะลดดอกเบี้ยเท่าไหร่ ลดกี่ครั้ง ไม่ได้อยากไประบุถึงขนาดนั้น ต้องปล่อยให้เป็นอำนาจหน้าที่ของผู้รับผิดชอบ แต่วันนี้ ครม. ก็มีความเห็นชัดเจนว่าการดำเนินนโยบายการเงินควรคำนึงถึงกรอบเงินเฟ้อ คำนึงถึงความสอดคล้องกับนโยบายการคลัง