ถอดรหัส“ทรัมป์” ส่งสัญญาณขึ้นภาษีแน่ ถอนตัวข้อตกลงปารีส ลดโลกร้อนเคว้ง

22 ม.ค. 2568 | 04:16 น.
1.0 k

“ทรัมป์”สั่งตรวจสอบขาดดุลการค้า กูรูชี้ส่งสัญญาณขึ้นภาษีนำเข้าจาก 4 กลุ่มประเทศแน่ ระบุที่สุดแล้วใครจะโดนในอัตราเท่าไร ขึ้นกับการเจรจาต่อรอง ขณะสหรัฐถอนตัวจากข้อตกลงปารีสรอบใหม่ สะเทือนหนักกองทุนลดโลกร้อน 1 ล้านล้านดอลลาร์เคว้ง เป้าหมาย Net Zero ส่อดีเลย์

แค่เริ่มต้นก็สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วโลก หลัง “โดนัลด์ ทรัมป์”ได้สาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา ในการกล่าวสุนทรพจน์ ทรัมป์ได้ประกาศจุดเริ่มต้นของ "ยุคทองแห่งอเมริกา" พร้อมเปิดเผยนโยบายสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ สร้างความมั่นคง ปกป้องอธิปไตย และสร้างความสามัคคีในชาติมากกว่า 10 ประเด็น

โดยนโยบายด้านเศรษฐกิจและพลังงาน ทรัมป์ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงาน และลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน , สนับสนุนการผลิตพลังงานในประเทศ เช่น น้ำมันและก๊าซ และจะยกเลิกนโยบาย Green New Deal (นโยบายเศรษฐกิจสีเขียวใหม่ของสหรัฐ) และข้อบังคับยานยนต์ไฟฟ้า 

ส่วนการขึ้นภาษีสินค้าจากจีน 60-100% สินค้าจากเม็กซิโก และแคนาดา 25% สินค้าจากกลุ่ม BRICS 100 % และสินค้าจากประเทศต่าง ๆ  10-20% เพื่อลดการขาดดุลการค้า และตอบโต้การทำการค้าที่ไม่เป็นธรรมกับสหรัฐ ที่ทรัมป์ประกาศจะดำเนินการทันทีหลังเข้ารับตำแหน่ง ในเบื้องต้นยังชะลอแผน และยังไม่มีการประกาศมาตรการออกมา แต่ได้สั่งการให้หน่วยงานของรัฐบาลกลางไปตรวจสอบและแก้ไขปัญหาการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดี “ทรัมป์” ได้สร้างความตกตะลึงให้กับโลกอีกครั้ง โดยในการแถลงข่าวที่ทำเนียบขาว เขาได้ประกาศแผนการถอนตัวของสหรัฐอเมริกาออกจากข้อตกลงปารีส หรือข้อตกลงลดโลกร้อนที่มีสมาชิกเกือบ 200 ประเทศทั่วโลก โดยจะมีคำสั่งฝ่ายบริหารออกมาในเร็ว ๆ นี้

รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์  พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และอาเซียน ได้วิเคราะห์และถอดรหัส ในหลายประเด็นข้างต้นของโดนัลด์ ทรัมป์ ผ่าน “ฐานเศรษฐกิจ”ไว้อย่างน่าสนใจ

ในประเด็นด้านพลังงาน โดยสรุปคือ ทรัมป์จะดำเนินการใน 4 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.จะยกเลิกนโยบาย Green New Deal หรือนโยบายเศรษฐกิจสีเขียวที่ถือเป็นนโยบายของประเทศ 2.จะยกเลิกคำสั่งของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่ห้ามขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ครอบคลุมพื้นที่ 625 ล้านเอเคอร์ ในบริเวณอ่าวเม็กซิโกและชายฝั่งทะเลของอเมริกา

3.ถอนสหรัฐออกจากข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) และ4.จะยกเลิกพันธสัญญาที่สหรัฐให้ไว้กับสหประชาชาติ(ยูเอ็น)เรื่องเป้าหมายของสหรัฐในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี ค.ศ.2050

รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์  พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และอาเซียน

“ใน 4  เรื่องหลัก ๆ ที่ทรัมป์จะยกเลิกนี้ จะส่งผลตามมาคือ สหรัฐยุคทรัมป์จะสามารถขุดเจาะน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือถ่านหิน ที่ปล่อยคาร์บอนสูง ออกมาขายได้มากขึ้น ช่วยลดต้นทุนภาคการผลิต และลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของชาวอเมริกัน ซึ่งปัจจุบันสหรัฐเป็นผู้ส่งออกน้ำมันอันดับ 1 ของโลก อันดับ 2 คือซาอุดีอาระเบีย”

ประการต่อมา จะลดข้อบังคับ หรือผ่อนคลายกฎระเบียบต่าง ๆ ด้านยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งแทนที่จะไปส่งเสริมสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า เช่น ปกติใครที่ซื้อรถยนต์เทสลาในสหรัฐหรือรถยนต์ยี่ห้ออื่น (รถ EV) ก็จะได้รับส่วนลดพิเศษ ซึ่งตรงนี้เป็นเงินรายได้ของรัฐบาลจากภาษีของประชาชนที่นำมาอุดหนุน ซึ่งรัฐบาลทรัมป์อาจจะไม่ได้สนับสนุนหรือให้ส่วนต่างตรงนี้ พูดง่าย ๆ คือไม่ให้การส่งเสริมและสนับสนุนรถ EV อย่างเต็มที่เหมือนสมัยโจ  ไบเดน

อย่างไรก็ดีในเรื่องนี้ ทรัมป์คงไม่สามารรถที่จะไปยกเลิกโครงการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของสหรัฐ เพื่อช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้ เพราะจะเกิดความย้อนแย้ง เนื่องจากอีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลา และรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลทรัมป์มุ่งรถยนต์ EV ที่ใช้พลังงานสะอาด

“ทรัมป์ไม่ได้ส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มที่ เหมือนสมัยไบเดน เพราะฉะนั้นอุตสาหกรรมรถยนต์ของโลกก็เข้าทางจีน ที่ปัจจุบันจีนครองอันดับ 1 ใน อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของโลกอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นรถยนต์ไฟฟ้าของจีนก็จะยิ่งได้อานิสงส์หรือยิ่งได้ประโยชน์จากนโยบายของทรัมป์”

อย่างไรก็ตามอีกด้านหนึ่ง สิ่งที่จะเกิดขึ้นจากการหันไปมุ่งเน้นการใช้พลังงานฟอสซิลของทรัมป์คือ 1.มีโอกาสที่น้ำมันในตลาดโลกราคาจะถูกลง เพราะการขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐทำให้มีซัพพลายเพิ่มขึ้น 2.เงินเฟ้อของสหรัฐมีโอกาสที่จะไม่สูงมากนัก หรือสามารถไปชดเชยภาวะเงินเฟ้อ จากการทรัมป์จะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ และจะส่งผลทำให้การดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอาจจะไม่ลดอีกจากปัจจุบัน เนื่องจากเงินเฟ้อไม่ได้สูงมากนักตามที่คาดการณ์เอาไว้

ด้านการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ เฉพาะอย่างยิ่งการขึ้นภาษีสินค้าจากประเทศที่เกินดุลการค้าสหรัฐมาก เช่น จีน ที่อยู่ที่ระดับ 2.8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปีล่าสุด โดยทรัมป์เคยประกาศก่อนหน้าจะขึ้นภาษีสินค้าจีน 60-100% สินค้าจากเม็กซิโก และแคนาดา 25% สินค้าจากกลุ่ม BRICS 100% และสินค้าจากประเทศอื่น ๆ 10-20% (ไทยอยู่ในกลุ่มนี้) ในเรื่องนี้มองว่า สหรัฐจะขึ้นภาษีแน่นอน แต่จะขึ้นในอัตราเท่าใด ในกลุ่มสินค้าใดบ้าง และจะขึ้นเมื่อไร คงขึ้นกับการเจรจาต่อรองของแต่ละประเทศกับสหรัฐ รวมถึงการเจรจาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ เช่น รับปากจะนำเข้าสินค้าจากสหรัฐมากขึ้น

รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ ยังให้ความเห็น กรณีทรัมป์ ประกาศจะถอนสหรัฐออกจากข้อตกลงปารีส หลังจากที่เคยออกมาแล้วในสมัย "ทรัมป์ 1" ซึ่งเวลานี้ได้ส่งผลให้ประชาคมโลกมีความกังวลเกี่ยวกับการลดโลกร้อน และการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกที่มีความรุนแรงขึ้น ขณะที่ผ่านมาสหรัฐและยุโรปถือเป็นแกนหลักในการลดโลกร้อน รวมถึงการใส่เงินในกองทุนเพื่อช่วยประเทศที่กำลังพัฒนาในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นต้นเหตุของโลกร้อน(ต้องใช้เงินอย่างน้อย 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี)

“การถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีสของสหรัฐในรอบนี้จะส่งผลกระทบต่อประเทศสมาชิก และเป้าหมายในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์แน่นอน เพราะสหรัฐเป็นรายใหญ่ และเป็นหนึ่งในประเทศหลักที่ใส่เงินเข้าไปในกองทุน ทำให้น้ำหนักในการขับเคลื่อนจะไม่เข้มแข็งเท่าในสมัยไบเดน”

ทั้งนี้หากถามว่าจะมีผลให้การลดโลกร้อนต้องล้มกระดานลงไปเลยหรือไม่ ก็ไม่ได้ล้ม แต่หากเปรียบเทียบมี 100% ก็จะหายไป 25% แต่อีก 75% ก็ยังเคลื่อนอยู่ เรื่องพันธกิจของโลกร้อนก็ยังเดินหน้าต่อไป ไม่ได้หยุดชะงักแต่ว่า 4 ปีข้างหน้าของทรัมป์ จะทำให้พันธกิจของโลกที่เกี่ยวกับการลดโลกร้อน จะค่อย ๆ เคลื่อนไปอย่างช้า ๆ ไม่ได้รวดเร็วเหมือนที่ผ่านมา และอาจทำให้เป้าหมายของประเทศสมาชิกที่ส่วนใหญ่ตั้งเป้าปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี ค.ศ.2050 อาจต้องดีเลย์ออกไป