“ส.อ.ท.” แนะไทยหาตลาดใหม่ลดพึ่งพาสหรัฐ ปฏิรูปกฏหมายการค้ารับมือทรัมป์ 2.0

21 ม.ค. 2568 | 18:27 น.
อัปเดตล่าสุด :21 ม.ค. 2568 | 18:27 น.

“ส.อ.ท.” แนะไทยหาตลาดใหม่ลดพึ่งพาสหรัฐ ปฏิรูปกฏหมายการค้ารับมือทรัมป์ 2.0 แนะ ภาครัฐร่วมบริหารจัดการการสร้างคนให้เหมาะสมกับอุตสาหกรรมใหม่ และเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่การผลิต

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยในงานเสวนาโต๊ะกลม Geopolitics 2025 | TRUMP 2.0 : The Global Shake Up ซึ่งจัดโดยหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ว่า

การที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ รับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐสมัยที่ 2 หรือ ทรัมป์ 2.0 มีหลายนโยบายที่จะต้องจับตามอง ว่าจะส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจและภาคอุตสาหกรรมไทยอย่างไร ประกอบด้วย

1.นโยบายดึงการลงทุนกลับสหรัฐฯ หรือ Reshoring เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจและการจ้างงานในประเทศ โดยจะมีการใช้กลไกภาษีในการจูงใจนักลงทุน ด้วยการลดอัตราภาษีนิติบุคคลจากเดิม 21% เหลือ 15% 

อีกทั้งยังช่วยลดต้นทุนการผลิตให้กับภาคการผลิตทั้งหมด โดยการส่งเสริมและขยายการลงทุนขุดเจาะน้ำมัน ตามคำกล่าวในสุนทรพจน์ของทรัมป์ว่า “Drill, Baby Drill” รวมทั้งการขุดเจาะ Shale Gas และ Shale Oil ที่เคยถูกยุติการผลิตไปในช่วงของประธานาธิบดีไบเดน เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

“ส.อ.ท.” แนะไทยหาตลาดใหม่ลดพึ่งพาสหรัฐ ปฏิรูปกฏหมายการค้ารับมือทรัมป์ 2.0

โดยทรัมป์ยังให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมยานยนต์ (Automotive) เพื่อเป็นการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนกลับเข้าไปในสหรัฐมากที่สุด ซึ่งจะส่งผลกระทบกับหลายอุตสาหกรรมของไทย จากเดิมที่ต้องพึ่งพาการส่งออก จะต้องมีการปรับยุทธศาสตร์เป็นการออกไปลงทุนในสหรัฐ

นอกจากนี้ นโยบายดังกล่าวยังอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการลงทุน FDI  จากสหรัฐที่จะเข้ามาในไทยและภูมิภาคอาเซียน ด้วยการให้เสนอเงื่อนไขที่ดีกว่าให้กับนักลงทุนหากตัดสินใจกลับมาลงทุนในประเทศ

2.การขึ้นภาษีนำเข้า (Tariff) 10-20% ขณะที่ตั้งกำแพงสินค้าจากจีน 60-100% ส่วนกลุ่มประเทศที่ย้ายฐานการผลิตมาตั้งอยู่ใกล้กับสหรัฐ หรือNear Shoring เช่น แคนาดา เม็กซิโก จะถูกจับตามองและถูกตั้งกำแพงภาษีสูงขึ้น โดยจะมีการตรวจสอบที่เข้มข้นมากขึ้น 

ซึ่งประเทศไทยมีความเสี่ยงที่จะตกเป็นเป้าของการขึ้นภาษีดังกล่าว ซึ่งเป็นเรื่องน่ากังวลเนื่องจากไทยพึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐกว่า 17% ของการส่งออกทั้งหมด และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้ไทยโดนตั้งข้อสงสัยเรื่องการบิดเบือนค่าเงิน (Currency Manipulation) และทำให้ค่าเงินบาทถูกบังคับให้แข็งค่า เพื่อเป็นข้อต่อรองในการเจรจาแบบทวิภาคี

ทั้งนี้ ประเทศจีนที่เป็นเป้าหมายการตั้งกำแพงภาษี ทำให้สินค้าที่ผลิตในจีนทั้งมีมาตรฐานและไม่มีมาตรฐานทะลักเข้ามาในภูมิภาคอาเซียน และกลายเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของจีน มูลค่าการส่งออกกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ 

ซึ่งไทยถูกแย่งส่วนแบ่งตลาดการตลาดในอาเซียน และส่งผลกระทบต่อ 25 กลุ่มอุตสาหกรรมในไทย และจะเพิ่มขึ้นเป็น 30 กลุ่มอุตสาหกรรมในปีนี้ เนื่องจากสินค้าไทยแข่งขันด้านราคากับสินค้าจีนที่มีต้นทุนต่ำกว่าไม่ได้

ดังนั้น มาตรการป้องกันแบบอ่อนจึงมีความจำเป็น โดย ส.อ.ท.เสนอให้รัฐเพิ่มแต้มต่อการจัดซื้อจัดจ้าง สินค้า Made in Thailand จาก 5% เป็น 15% เป็นการชั่วคราว

นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า ไทยต้องเร่งหาตลาดส่งออกใหม่ เพื่อลดพึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐ และหาตลาดใหม่นอกจากอาเซียนด้วย โดยการเร่งเจรจา FTA กับหลายประเทศ

นอกจากนี้ ประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งการปฏิรูปกฎหมาย โดยเฉพาะด้านการค้า เนื่องจากกฎหมายที่ล้าสมัยจะเป็นอุปสรรคอย่างร้ายแรงในการดึงดูดอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ประเทศ โดยการพัฒนาทักษะแรงงานมีความสำคัญ โดยอยากให้ภาครัฐร่วมบริหารจัดการการสร้างคนให้เหมาะสมกับอุตสาหกรรมใหม่ และเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่การผลิต