เกาะติด รับมือนโยบายทรัมป์ 2.0 เปิด 29 กลุ่มสินค้าเสี่ยงโดนเก็บภาษี

21 ม.ค. 2568 | 06:40 น.

กระทรวงพาณิชย์ เกาะติดนโยบายทรัมป์ 2.0 เผยไทยเป็นคู่ค้าที่สหรัฐฯ ขาดดุลอันดับ 12 ของโลก เปิด 29 กลุ่มรายกานสินต้าเสี่ยงโดนเก็บภาษี

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลง ทางการเมืองและนโยบายทางการค้าของสหรัฐฯ เนื่องจากการดำเนินนโยบายของสหรัฐฯ ย่อมมีผลกระทบต่อวงการเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนของโลกและของประเทศไทย 

ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ติดตามและประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าสหรัฐฯ ต่อการค้าโลกและไทยที่คาดว่าจะเกิดขึ้นมาต่อเนื่อง ทั้งการประกาศนโยบายการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าจากจีน แคนาดา เม็กซิโก และประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก การปกป้องอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศ ตลอดจนการดึงการลงทุนกลับไปยังสหรัฐฯ เพื่อสร้าง การจ้างงานภายในประเทศ

 

เกาะติด รับมือนโยบายทรัมป์ 2.0 เปิด 29 กลุ่มสินค้าเสี่ยงโดนเก็บภาษี

 

สำหรับ สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย มีสัดส่วนราว 18% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด โดยปี 2567 มีมูลค่า 54,956.2 ล้านดอลลาร์ ขณะที่การนำเข้า สหรัฐฯ เป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 4 ของไทย มีสัดส่วนราว 6% ของมูลค่านำเข้าทั้งหมด หรือมีมูลค่า 19,528.6 ล้านดอลลาร์ โดยรวมไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ 35,427.6 ล้านดอลลาร์ อยู่อันดับที่ 12 ของโลก 

นอกจากนี้ กลุ่มสินค้าไทยที่มีความเสี่ยงอาจถูกสหรัฐฯ พิจารณาใช้มาตรการทางภาษีมีประมาณ 29 กลุ่มสินค้า เนื่องจากพบสถิติการค้าที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับไทยมากขึ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 61 - 66) เช่น 

  • เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ
  • เครื่องโทรศัพท์มือถือ
  • ไดโอด ทรานซิสเตอร์และอุปกรณ์กึ่งตัวนำแบบไวแสง (โซลาร์เซลล์)
  • ยางนอกชนิดอัดลมที่เป็นของใหม่
  • หม้อแปลงไฟฟ้า เครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่
  • เครื่องปรับอากาศ
  • เครื่องพิมพ์ที่ป้อนกระดาษเป็นม้วน
  • เครื่องส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์
  • วงจรรวมอิเล็กทรอนิกส์
  • เครื่องเพชรพลอยและรูปพรรณและส่วนประกอบของของดังกล่าว 

และยังมีรายการกลุ่มสินค้าอื่น ๆ ที่อาจมีความเสี่ยงโดนเก็บภาษีเช่นกัน อาทิ เครื่องจักรไฟฟ้า ตู้เย็นตู้แช่แข็ง เฟอร์นิเจอร์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์จากไม้ รวมถึงสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปบางรายการ 

ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ก็ได้จับตาประเทศที่มีกลุ่มทุนจีนเข้าไปลงทุนเพื่อตั้งฐานการผลิต เพราะต้องการเลี่ยงสงครามการค้า และมาตรการทางภาษีจากสหรัฐฯ โดยประเทศปลายทางที่จีนเข้าไปลงทุนเพิ่มเติม (Greenfield FDI) มากเป็น 10 อันดับแรก ในปี 66 ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย มาเลเซีย เวียดนาม โมร็อกโก คาซัคสถาน อียิปต์ อินโดนีเซีย อาร์เจนตินา เซอร์เบีย และเม็กซิโก

สำหรับในมุมของเศรษฐกิจโลกปี 2568 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ได้ประเมินอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกไว้ที่ 3.3% และยังมองว่า เศรษฐกิจโลกยังคงมีเสถียรภาพและได้รับแรงหนุนจากเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาที่เติบโตได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยโลก โดยเติบโตอยู่ที่ 4.2% ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วเติบโตที่ 1.7% 

 

เกาะติด รับมือนโยบายทรัมป์ 2.0 เปิด 29 กลุ่มสินค้าเสี่ยงโดนเก็บภาษี

อย่างไรก็ดี ไอเอ็มเอฟได้เตือนถึงความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกว่า ในระยะปานกลางเศรษฐกิจโลกอาจเผชิญกับความเสี่ยงนโยบายเศรษฐกิจในลักษณะที่เป็นการปกป้องที่เข้มข้นขึ้น (protectionist policies) โดยเฉพาะนโยบายการปรับขึ้นอัตราภาษีศุลกากรที่อาจนำไปสู่การลดลงของการลงทุน ลดทอนความมรประสิทธิภาพของตลาด เบี่ยงเบนทิศทางการค้า และอาจกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน 

นายพูนพงษ์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า มาตรการทางการค้าของสหรัฐฯ จะออกมาให้เห็นชัดเจนมากขึ้น ภายหลังจากที่มีการแต่งตั้งคณะผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (The United States Trade Representative) หรือ USTR เรียบร้อย โดยจะเป็นหน่วยงานที่ดูแลการพิจารณาและออกประกาศมาตรการทางการค้าต่าง ๆ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของไทยมีแผนที่จะนำคณะผู้บริหารเยือนสหรัฐอเมริกา เพื่อหารือกับผู้บริหารระดับสูงของสหรัฐฯ ชุดใหม่ในเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อการเจรจาขอยกเว้นการขึ้นภาษีสินค้าจากไทย