การส่งออกที่ดีวันนี้จะเป็นลมหายใจเฮือกสุดท้ายหรือไม่

05 มี.ค. 2568 | 11:42 น.
อัปเดตล่าสุด :05 มี.ค. 2568 | 11:53 น.

การส่งออกที่ดีวันนี้ จะเป็นลมหายใจเฮือกสุดท้ายหรือไม่ : คอลัมน์เศรษฐเสวนา จุฬาฯทัศนะ โดย...รศ.ดร.ชโยดม สรรพศรี คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4076

ในปี 2567 เศรษฐกิจไทยเติบโตในอัตราที่ต่ำเกือบที่สุดในกลุ่มสมาชิกอาเซียน แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย มาจากการใช้จ่ายของภาครัฐ การบริโภคของภาคเอกชน และ การส่งออกสินค้าและบริการ ขณะที่การลงทุนของภาคเอกชนหดตัวลง 

คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย ยังยอมรับว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ เพราะปัญหาเชิงโครงสร้างและการแข่งขันจากสินค้าต่างประเทศ อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ ปิโตรเคมี และ วัสดุก่อสร้าง ด้วยอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับเป้าหมาย คณะกรรมการนโยบายการเงิน จึงปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา  

การส่งออกในปี 2567 มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องมาตลอดระยะเวลาสามไตรมาสหลัง และมีผลต่อเนื่องในเดือนมกราคม 2568 ในเดือนแรกของปี 2568 มีอัตราการขยายตัวร้อยละ 13.6  เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (หรือร้อยละ 11.4 หากไม่รวมทองคำ) และมีอัตราสูงกว่าเพื่อนบ้านอาเซียนหลายประเทศ ขณะที่เวียดนามถึงกับหดตัว 

การส่งออกที่ดีในส่วนสินค้าอุตสาหกรรม คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ (ที่ไม่รวมทองคำ) ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ส่วนสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปที่ส่งออกได้ดีคือ ยางพารา ผลิตภัณฑ์จากไก่ อาหารทะเลแปรรูป อาหารสัตว์ 

แต่ที่น่ากังวลเพราะการส่งออกหดตัว คือ รถยนต์ เหล็กและเหล็กกล้า เซมิคอนดักเตอร์ ข้าว ผลไม้สด และ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง   

แม้ว่าในภาพรวมการส่งออกมีแนวโน้มดีอย่างต่อเนื่อง นโยบายการค้าของสหรัฐอเมริกายังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ จึงเป็นคำถามว่า การเติบโตของการส่งออกจะยั่งยืนหรือไม่ หรือจะเป็นลมหายใจเฮือกสุดท้าย 

ประธานาธิบดีทรัมป์ 2.0 มีกลยุทธ์นโยบายเชิงรุก ข่มขู่ไว้ก่อนแล้วเจรจาทีหลัง ช่วงทรัมป์ 1.0 ก็ได้ใช้วิธีการคล้ายกัน แต่รอบนี้อาจจะต้องก้าวร้าวกว่า เพราะเพิ่งได้รับตำแหน่ง และต้องสนองต่อนโยบายอเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง (MAGA)  มาตรการการค้า อาทิ การประกาศจะขึ้นภาษีนำเข้าร้อยละ 25 สำหรับสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดา 

                       การส่งออกที่ดีวันนี้จะเป็นลมหายใจเฮือกสุดท้ายหรือไม่

อย่างไรก็ตาม หลังจากประกาศอีกไม่นาน ก็ขอเลื่อนวันขึ้นภาษี จาก 1 กุมภาพันธ์ ไปอีกหนึ่งเดือน ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้มีการเจรจาต่อรอง เป็นมาตรการเขียนเสือให้วัวกลัว มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าก็ได้ใช้กับสินค้าจีน แต่มังกรจีนก็สู้กลับอย่างไม่เกรงกลัว    

ประธานาธิบดีทรัมป์ยังได้เรียก นายกรัฐมนตรีโมดี ของอินเดียว่า “King of Tariffs” เพื่อรุกให้อินเดียลดภาษีการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐอเมริกา มิฉะนั้นจะตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากอินเดีย 

ส่วนนายกรัฐมนตรีอิชิบะของญี่ปุ่น ได้มาเจรจาและสัญญาว่าจะมีการลงทุนของญี่ปุ่นในสหรัฐอเมริกา 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา และซื้อกิจการอุตสาหกรรมเหล็กในอเมริกาอีกด้วย ประธานาธิบดีทรัมป์ถึงกับออกปากว่าญี่ปุ่นและอเมริกาเป็น “พันธมิตรที่ดีต่อกันและจะเติบโตไปด้วยกัน” 

หากไม่นับรวมกษัตริย์ของจอร์แดน และนายกรัฐมนตรีของอิสราเอลแล้ว ประธานาธิบดีมาครง ของฝรั่งเศส ก็ได้ไปพูดคุยกับผู้นำสหรัฐอเมริกา ที่นำไปสู่ความตกลงการค้าที่เป็นธรรม (Fair Trade) แต่ก็ไม่ได้มีการพูดถึงการเปิดเสรีทางการค้าแม้แต่น้อย (Free Trade) 

แล้วไทยจะทำอย่างไร แม้กระทั่งธนาคารกลางยังต้องลดดอกเบี้ยเพื่อพยุงสถานภาพของเศรษฐกิจ ขณะที่การปรับโครงสร้างยังมีความจำเป็นและใช้เวลา การส่งออกจึงเป็นแหล่งพึ่งพาที่สำคัญ ไทยเป็นประเทศที่ได้ดุลการค้าจากสหรัฐอเมริกา ในลำดับที่ 11 มูลค่าการได้ดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกาเท่าๆ กับอินเดีย และน้อยกว่าญี่ปุ่น และ เกาหลีก็ไม่มากนัก 

ไทยจึงน่าจะตกเป็นเป้าของสหรัฐอเมริกา อีกทั้งไทยมีการเก็บภาษีสินค้านำเข้าในอัตราที่ค่อนข้างสูง เพราะเป็นประเทศกำลังพัฒนา เมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกาที่เก็บภาษีนำเข้าในอัตราที่ต่ำมาก  

ที่ผ่านมาการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐอเมริกา การเติบโตค่อนข้างสูง สินค้าส่งออกหลักที่ไทยส่งไปยังสหรัฐอเมริกานั้นประกอบไปด้วย โทรศัพท์ไร้สายและชิ้นส่วน คอมพิวเตอร์และฮาร์ดดิสก์ ยางล้อรถยนต์ แผงโซล่า สแตติกคอนเวอร์เตอร์ และชิ้นส่วนของเครื่องจักร 

สินค้าเหล่านี้ พึ่งพาส่งออกไปสหรัฐอเมริกามากกว่าร้อยละ 40 ของที่ไทยส่งออก แผงโซล่านั้นพึ่งพาตลาดสหรัฐอเมริกามากที่สุด ถึงร้อยละ 70 ของที่ไทยส่งออก และเป็นสินค้าที่จีนย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย ตามนโยบาย China+1 สหรัฐอเมริกาคงไม่ยอมให้ลอดสายตาไปได้ง่ายๆ 

หากไทยถูกบีบให้ลดภาษีนำเข้าจากสหรัฐอเมริกา ผลกระทบที่ตามมาจะเยอะกว่าที่คิด เพราะการลดภาษีดังกล่าว จะมีผลต่อการลดภาษีนำเข้าให้คู่ค้าอื่นๆ (ที่ยังไม่มีข้อตกลงการค้าเสรีกับไทย) เช่นกัน ด้วยเหตุผลของหลักการไม่เลือกปฏิบัติ (Most Favored Nation) ขององค์กรการค้าโลก หากไทยต่อรองไม่สำเร็จก็จะโดนภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) ส่งผลต่อการส่งออกของไทยไปสหรัฐอเมริกาอีก 

การส่งออกที่กำลังไปได้ดี อาจจะเป็นลมหายใจเฮือกสุดท้ายจริงๆ