ขอพาไปเยือนสถานที่ท่องเที่ยวใกล้เมืองจิ่งเต๋อเจิ้น และอยากชวนท่านผู้อ่านแลกเปลี่ยนแนวคิดในการพัฒนา ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความสำเร็จกันต่ออีกหน่อยครับ ...
นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวที่ผมเกริ่นไปก่อนหน้านี้ คนไทยจำนวนมากยังอาจรู้จักและไปเยือนเมืองซ่างเหรา เพราะต้องการนั่งรถต่อไปเยือน “วั่งเซียนกู่” (Wangxiangu) หรือ “หมู่บ้านวั่งเซียน” (Wangxian Valley) ที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของจีน “ปั่นกระแส” จนคนไทยเรียกกันติดปากว่า “หุบเขาเทวดา”
อันที่จริง วั่งเซียนกู่ถือเป็นหมู่บ้านโบราณที่มีอายุเก่าแก่กว่า 1,000 ปี แต่แหล่งท่องเที่ยวที่ผมไปสัมผัสมาล้วนถูกสร้างขึ้นใหม่ โดยแทรกตัวอยู่ระหว่างหุบเขาหินปูน ที่อยู่ในระดับ 1,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
แม้จะเป็นการ “เนรมิต” สิ่งก่อสร้างมากมายขึ้นใหม่ ท่ามกลางหุบเขา และนักท่องเที่ยวต้องเดินขึ้นลงเขาเยอะหน่อย แต่วิวทิวทัศน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามค่ำคืนที่ประดับประดาด้วยแสงไฟจากหลอดไฟโทนสีส้ม ก็นับว่าตระการตาจนเกินบรรยาย
วิวแปลกตาสุดพิเศษสำหรับผมก็ได้แก่ หมู่บ้านโบราณที่ตรึงอยู่กับริมหน้าผา ซึ่งผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมจีนโบราณ กับธรรมชาติเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว เวลามองจากระยะไกล จะเหมือนหน้าผาสูงที่มีคนมือดีไปขีดเขียนเส้นตรงขึ้นลงเชื่อมต่อกันไว้
ผมเชื่อว่า ท่านผู้อ่านจะไม่ได้เห็นวิวที่สุดพิเศษเช่นนี้ได้ง่ายๆ พอเห็นแล้วก็รับรองว่า “คุ้มค่าเหนื่อย” จากการเดินทางเลยทีเดียว นอกจากรีสอร์ต และร้านอาหารท้องถิ่น ที่เรียงรายยาวเหยียดแล้ว โครงการยังจุดสักการะบูชาสิ่งศักสิทธิ์ และจุดถ่ายภาพที่แผงไว้ซึ่งศิลปะและวัฒนธรรมอันเก่าแก่ของจีนไว้มากมาย
ตอนผมไปครั้งหลังสุดในช่วงปลายปี 2024 ก็มี “ดวงจันทร์เทียม” ลอยเด่นเป็นสง่าให้ชื่นชม เวลาถ่ายภาพในมุมนั้น ก็จะเสมือนมีพระจันทร์เต็มดวงสุกสกาวอยู่ในฉากหลังอยู่ด้วยเสมอครับ
หลายคนที่ผมไปด้วยมักสอบถามว่า บริเวณยอดหุบเขาเทวดาขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยอาคารทรงโบราณจีน และอยู่ระหว่างการก่อสร้างเป็นพื้นที่ทำอะไร ผมขอเรียนว่า โครงการระบุว่า จะอัญเชิญพระพุทธรูปและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไปประดิษฐาน เพื่อดึงดูดคนให้เดินขึ้นเขาไปชื่นชมทัศนียภาพสุดอลังการจากด้านบน ซึ่งคาดว่า พื้นที่ส่วนนี้น่าจะเปิดให้ผู้คนได้เดินขึ้นไปชมทัศนียภาพได้ภายในปีนี้
มาถึงปัจจุบัน การดำเนินโครงการผ่านไปเพียงครึ่งทางเท่านั้น ดังนั้น กว่าโครงการโดยรวมจะเสร็จสมบูรณ์ ก็น่าจะใช้เวลาอีกหลายปี ท่านผู้อ่านยังมีโอกาสจะไปเห็นพัฒนาการ และเก็บเกี่ยวภาพแห่งความประทับใจของหุบเขาเทวดาได้อีกมากในอนาคต
แต่ผมแนะนำว่า ท่านผู้อ่านไม่ต้องรอจนโครงการเสร็จสมบูรณ์นะครับ เพราะเฉพาะพื้นที่ก่อสร้างที่แล้วเสร็จ ก็ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในการเดินแล้ว และต้องไม่ลืมว่า พื้นที่เหล่านี้เป็นเทือกเขาที่ต้องเดินขึ้นลง ซึ่งอาจกินแรงมากกว่าปกติ ผมไปหลายรอบแต่ก็ยังเดินไม่ทั่วเลยครับ
และไหนๆ ไปเมืองซ่างเหราแล้ว สำหรับสำหรับท่านผู้อ่านที่ชื่นชอบวิวภูเขาก็ไม่ควรพลาดการเยือน “หลิงซาน” (Lingshan) หรือที่เรียกกันว่า “หวงซานน้อย” แม้จะไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับหวงซาน เทือกเขาที่คนจีนยกย่องว่างดงามที่สุดของจีน แต่ผมรับประกันว่าท่านจะได้ซึมซับบรรยากาศของหวงซานได้อย่างแน่นอน
การขึ้นเขาหลิงซานก็ไม่ลำบากอย่างที่หลายคนกังวลใจ เพราะมีกระเช้าคุณภาพสูงให้บริการ และออกจากสถานีกระเช้า ก็เดินไปยังจุดถ่ายภาพที่งดงามและแปลกตาได้อย่างสะดวกและไม่ไกลอย่างที่คิด
ถ้าท่านผู้อ่านแวะไป “หลิงซาน” ก็อย่าพลาด “กระจกแห่งท้องฟ้า” ที่สร้างเป็นกระจก 3 ด้าน ซึ่งช่วยให้ท่านจะได้ภาพถ่ายสุดประทับใจ และเดินต่ออีกไม่ไกลก็มีเทือกเขาที่มีรูปร่างแปลกตาเป็นจำนวนมาก
ย่านนั้นยังมีสถานที่ท่องเที่ยวดีๆ อีกมาก แต่ในมิติของการพัฒนา ผมก็เกิดคำถามที่น่าคิดว่า จิ่งเต๋อเจิ้นพัฒนาระบบนิเวศด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมให้เกิดเป็นรูปธรรมได้อย่างไร?
จากการศึกษาและพูดคุยกับผู้ที่เกี่ยวข้องพบว่า จิ่งเต๋อเจิ้นให้ความสำคัญกับการ “วิเคราะห์” ประเด็นปัญหาและ “ตกผลึก” แนวทางในการพัฒนาที่แฝงมุมมองอัน “ช่างคิด” ไว้อย่างแท้จริง อาทิ
ทัศนคติของรัฐบาลและองค์กรเอกชน การมีทัศนคติที่ถูกต้องนับว่ามีความสำคัญต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวในภูมิภาคอย่างยั่งยืน อาทิ การเสริมสร้างภาพลักษณ์ โครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก และการตลาดของเมือง ซึ่งต้องอาศัยการสนับสนุนส่งเสริมของรัฐบาลและความร่วมมือจากภาคเอกชน
เพื่อให้มั่นใจว่า โอกาสความสำเร็จในการส่งเสริมการตลาด จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในวงกว้างและใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินทางวัฒนธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ ก็ลงทุนก่อสร้างสารพัดสิ่งอย่างไม่ย่นย่อ อาทิ พิพิธภัณฑ์เซรามิก และพิพิธภัณฑ์เตาเผาโบราณจิ่งเต๋อเจิ้น รวมทั้งย่านจัดแสดงและจำหน่ายเซรามิกที่หมิงฟางหยวน (Mingfangyuan) และเถาซื่อชวน (Taoxichuan) เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องมีความคิดริเริ่มในเชิงรุก และการประสานงานกับส่วนงานที่เกี่ยวข้องที่ดี โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเปิดรับฟังความคิดเห็นของภาคประชาชน ซึ่งทำให้ได้รับข้อแนะนำเกี่ยวกับการบริหารจัดการเมืองที่จำเป็นต้องได้รับการปรับปรุง
อาทิ การเพิ่มจำนวนถังขยะและการทำความสะอาดถนนและทางเท้า โดยควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากร ที่เกี่ยวข้องควบคู่ไปด้วยเพื่อยกระดับประสิทธิภาพและมาตรฐาน
นโยบายและกฎระเบียบของภาครัฐ นโยบายและกฎระเบียบเชิงกลยุทธ์ที่นำไปสู่ธรมาภิบาล ช่วยให้การท่องเที่ยวในภูมิภาคมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น การตระหนักว่าเซรามิกของจิ่นเต๋อเจิ้ง เป็นสินค้าหัตถกรรมที่แผงไว้ซึ่งศิลปะนับเป็นสิ่งสำคัญ เพราะนั่นหมายความว่า การจัดการตลาดจำเป็นต้องอาศัยวิธีการ ที่แตกต่างจากสินค้าอุตสาหกรรมทั่วไปที่ผลิตจำนวนมาก
ขณะเดียวกัน เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่โปร่งใส เป็นธรรม และยั่งยืน ภาครัฐจำเป็นต้องใช้นโยบายปกป้องผู้บริโภคไม่ให้ “เสียค่าโง่” และเพิ่มบทลงโทษกับการจำหน่ายสินค้าที่ “แพงเกินจริง” หรือ “เลือกปฏิบัติ” ควบคู่ไปกับการคุ้มครองนักออกแบบ และผู้ประกอบการไม่ให้ “เสียแรงเปล่า” ซึ่งครอบคลุมถึงการตระหนักถึงคุณค่าของความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาและสิ่งแวดล้อม
เพื่อสนับสนุนนโยบายดังกล่าวในเชิงรุก ภาครัฐอาจกำหนด “เงินอุดหนุน” แก่ความคิดสร้างสรรค์และความห่วงใยในประเด็นเศรษฐกิจ Bio-Circular-Green (BCG) ซึ่งสอดคล้องกับกระแสของโลก
นอกจากนี้ ภาครัฐยังอาจเพิ่มความตระหนักรู้และทัศนคติเชิงบวกเกี่ยวกับความสำคัญของสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญา และการบังคับใช้กฎหมายและเพิ่มบทลงโทษการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา รวมทั้งการผลักดันให้ภาคเอกชนจัดตั้งสมาคมคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ในอุตสาหกรรมเฉพาะทาง และการลดค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ที่ต้องการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของตนเอง
คุยกันต่อในตอนหน้าครับ ...
เกี่ยวกับผู้เขียน : ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน, อุปนายกและเลขาธิการสมาคมส่งเสริมการลงทุนและการค้าไทย-จีน ผู้เชี่ยวชาญที่สั่งสมความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับตลาดจีน มุ่งหวังนำข้อมูลและมุมมอง ความคิดเห็นเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจ ธุรกิจ การตลาดและอื่น ๆ ที่อยู่ในกระแสของจีนมาแลกเปลี่ยนกับผู้อ่าน เพื่อเราจะไม่ตกขบวน “รถไฟความเร็วสูง” ของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจีน