การดำเนินธุรกิจสายการบิน และการท่องเที่ยวของบริษัท ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) สิ้นสุดในปี 2567 เป็นปีที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยในส่วนของธุรกิจการบินของไทยปีที่ผ่านมา ขยายตัวสอดรับกับดีมานต์ความต้องการเดินทางของผู้โดยสารและการขนส่งสินค้าของอุตสาหกรรมการบินโลกในปี 2567 ซึ่งฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องมีปริมาณการขนส่งผู้โดยสาร (RPK) สูงกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19 (ปี 2562) 3.8 %
เช่นเดียวกับการเติบโตของอุตสาหกรรมการบินในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เติบโตสูงสุดกว่าภูมิภาคอื่น ๆ ซึ่งสมาคมสายการบินเอเชีย แปซิฟิก รายงานว่าในช่วงปี 2567 ผู้โดยสารระหว่างประเทศมีจำนวน 365 ล้านคน เพิ่มขึ้น 30.5 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปริมาณการขนส่งผู้โดยสาร (Revenue Passenger Kilometer: RPK) เติบโตเฉลี่ย 16.9 %
เช่นเดียวกับภาคการท่องเที่ยวในประเทศไทย ที่มีการขยายตัวเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงการขยายตัวด้านการบินของไทยที่ฟื้นตัวกลับมา 83-85 % เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19
จากผู้โดยสารเติบโตต่อเนื่อง ส่งผลให้ในปีที่ผ่านมาธุรกิจสายการบินของไทย รายได้ขยายตัวสูงมาก สูงกว่าปี 2562 ไปแล้ว โดย “การบินไทย” แม้ผลประกอบการในปี 2567 จะขาดทุน 26,901 ล้านบาท
แต่หลักๆเป็นการขาดทุน ที่เกิดจากผลขาดทุนทางบัญชีที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว จากการแปลงหนี้เป็นทุนตามแผนฟื้นฟูกิจการจำนวน 45,271 ล้านบาท ซึ่งได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้วไปแล้วในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา
ดังนั้นการขาดทุนดังกล่าวจึงเป็นการขาดทุนทางบัญชี แต่ในแง่ของการดำเนินธุรกิจ จะพบว่า การบินไทยมีกำไรจากการดำเนินงาน (ก่อนต้นทุนทางการเงิน ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) สูงถึง 41,515 ล้านบาท เทียบปี 2562 ที่ขาดทุนจากการดำเนินงานอยู่ที่ 7,759 ล้านบาท
ในขณะที่มีรายได้รวม 187,989 ล้านบาท สูงกว่าปี 2562 ที่มีรายได้รวม 184,242 ล้านบาท ทั้งๆที่การบินไทยมีเครื่องบินในการปฏิบัติการบินอยู่ที่ 79 ลำ น้อยกว่าก่อนโควิดที่มีเครื่องบิน 103 ลำ แสดงถึงรายได้ประสิทธิภาพในการหารายได้และบริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้ดี
นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีนี้การบินไทยมีแผนเพื่อเพิ่มรายได้อย่างต่อเนื่อง โดยจะรับมอบเครื่องบินเพิ่มเติมในปีนี้อีก 9 ลำ โดยจะรับมอบแล้วเสร็จภายในไตรมาส 3 ปีนี้ ประกอบด้วย แอร์บัส A330 จำนวน 7 ลำ แอร์บัส A321 จำนวน 1 ลำ และแอร์บัส A330-300 จำนวน 1 ลำ เมื่อรับมอบเครื่องบินจะนำไปเพิ่มความถี่จุดบินที่มีศักยภาพ เช่น จีน อินเดีย ญี่ปุ่น และเยอรมนี
ทำให้ภาพรวมผู้โดยสารปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 16.5 ล้านคน จากปี 2567 ที่มีจำนวน 16 ล้านคน และหลังจากออกจากแผนฟื้นฟูในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ การบินไทยยังมั่นใจว่าจะสามารถดำเนินธุรกิจเพื่อเพิ่มรายได้อย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ผลประกอบการของสายการบิน “บางกอกแอร์เวย์ส” ในปี 2567 กำไรสูงถึง 3,787 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อนเกิดโควิด ซึ่งมีกำไรอยู่ที่ 356.7 ล้านบาท
นับว่าปรับตัวดีขึ้นจากปี 2566 ถึง 79.1 % จากการเพิ่มขึ้นของรายได้รวม 19.8 % ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นของรายได้บัตรโดยสาร แม้จำนวนผู้โดยสารอาจจะยังไม่ถึงกับปี 2562
นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปี 2567 บริษัทฯ มีจำนวนการขนส่งผู้โดยสาร 4.3 ล้านคน เติบโต 9.2 % เมื่อเทียบกับปี 2566 และมีจำนวนเที่ยวบินรวม 48,077 เที่ยวบิน โดยสายการบินได้ปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจโดยเพิ่มความถี่เที่ยวบิน
โดยเฉพาะเส้นทางที่เชื่อมต่อเกาะสมุยที่มีแนวโน้มความต้องการเดินทางสูง โดยมีอัตราส่วนการขนส่งผู้โดยสาร (Load Factor) ในเส้นทางสมุยเฉลี่ย 85 %ในปี 2567 และการสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางการบิน โดยปัจจุบันมีจำนวนสายการบินแบบ Code Share Agreement รวม 30 สายการบิน
สำหรับสายการบิน “ไทยแอร์เอเชีย” ปีที่ผ่านมา ทำกำไรได้สูง 3,478 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 647 % และยังพบว่าสายการบินกลับมามีกำไรจากการดำเนินงานหลักเป็นบวกครั้งเเรกหลังโควิด-19 อยู่ที่ 3,007 ล้านบาท เป็นสัญญาณว่าผลกระทบจากโควิด-19 ได้สิ้นสุดลงเเล้ว
นายสันติสุข คล่องใช้ยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยแอร์เอเชีย กล่าวว่า ปี 2567 เป็นปีที่บริษัทมีผลการดำเนินงานพลิกฟื้นกลับมาใกล้เคียงกับก่อนสถานการณ์โควิดอย่างชัดเจน โดยตลอดปี 2567 ขนส่งผู้โดยสารรวม 20.8 ล้านคน มีฝูงบินแอร์บัส 60 ลำ เทียบกับปี 2562 ที่เคยขนส่งผู้โดยสารสูงสุด 22.1 ล้านคน และฝูงบิน 63 ลำ
การฟื้นตัวนี้ส่งผลให้ผลประกอบการทางการเงินของบริษัทแข็งแกร่ง โดยมีรายได้จากการขายและการให้บริการอยู่ที่ 49,436 ล้านบาท สูงกว่าปี 2562 ที่มีรายได้ 40,181 ล้านบาท ส่วนสำคัญมาจากราคาตั๋วโดยสารที่เพิ่มขึ้น เพื่อสะท้อนต้นทุนการดำเนินธุรกิจที่ปรับตัวขึ้นอย่างมาก
ก้าวต่อไปในปี 2568 แม้จะยังคงมีความท้าทาย แต่สายการบินจะมุ่งใช้ความได้เปรียบด้านการให้บริการและจำนวนเครื่องบินที่มากที่สุดในกลุ่มสายการบินราคาประหยัดในไทยในการเติบโตอย่างต่อเนื่องเเละรวดเร็วมากขึ้น
โดยตั้งเป้าเติบโตรายได้จากการขายและบริการใกล้เคียง 15 % จากปีก่อน เพิ่มเครื่องบินแอร์บัส A321neo จำนวน 6 ลำ เป็น 66 ลำในปีนี้ นอกจากนี้ยังมีแผนขยายเส้นทางบินระหว่างประเทศเพิ่มเติมตลอดทั้งปีนี้ รวมถึงการใช้กลยุทธ์สิทธิเสรีภาพที่ 5 ตั้งเป้าขนส่งผู้โดยสาร 23-24 ล้านคนในปี 2568 ซึ่งจะเป็นสถิติใหม่สูงสุดของสายการบินต่อไป
ในส่วนของธุรกิจโรงแรม ส่วนใหญ่ล้วนกลับมาทำกำไรต่อเนื่อง และหลายแห่งมีผลประกอบการทุบสถิติเติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ไม่ว่าจะเป็น “ไมเนอร์” โกยกำไรทะลุ 7 พันล้าน สูงสุดเป็นประวัติการณ์
นายดิลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT กล่าวว่าผลประกอบการ ปี 2567 ของไมเนอร์ นับว่าสร้างผลการดำเนินงานทางการเงินที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท โดยมีกำไรสุทธิ7,750 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43 % ส่วนแนวโน้มของธุรกิจในปีนี้ก็ถือว่าเติบโตต่อเนื่อง
“เรามองว่าการท่องเที่ยวไทยยังแข็งแกร่ง ไมเนอร์ พร้อมเดินหน้าแผน 3 ปี ทุ่ม 3 หมื่นล้านบาท เพิ่มพอร์ตโฟลิโอ ตั้งเป้าขยายธุรกิจโรงแรมจาก 562 โรงแรมในปี 2567 เพิ่มเป็น 850 แห่ง ในปี 2570 และเพิ่มเป็น 1,000 แห่ง ในปี 2572 โดยเน้นขยายการรับบริหาร ส่วนธุรกิจอาหาร ตั้งเป้าหมายขยายร้านอาหารของไมเนอร์ฟู้ด เพิ่มจาก 2,699 แห่ง ในปี 2567 เพิ่มเป็น 4,000 แห่งในปี 2570 และเพิ่มเป็น 4,500 แห่ง ในปี 2572"
MINT หวังกำไรจากการดำเนินงานโตเฉลี่ย 15-20% และมีแผนจะตั้งกองรีทปีนี้มูลค่า 1.5 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ราว 5 หมื่นล้านบาท หวังกระแสเงินสดเพิ่ม 700 ล้านเหรียญ ซึ่งกำลังพิจารณาอยู่ว่าจะตั้งกองรีทในไทย หรือ สิงคโปร์
เช่นเดียวกับ AWC ซึ่งผลประกอบการทำนิวไฮ โดยมีกำไรสุทธิ 5,850 ล้านบาท เติบโต 14.6 % รายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) 4,200 บาทต่อคืน เติบโต 14.8 % สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด
นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทแอสเสท เวิรด์ คอร์ปจำกัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่าผลประกอบการปี 2567 เติบโตก้าวกระโดดในทุกมิติ โดยบริษัทพร้อมเดินหน้าแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี ตั้งเป้าขยายพอร์ตทรัพย์สินดำเนินงานอีก 2 เท่า สู่มูลค่า 300,000 ล้านบาท ในปี 2572
ในปีนี้ AWC จะเปิด 9 โครงการใหม่ ภายใต้การลงทุน 22,000 ล้านบาท อาทิ Jubilee Prestige Tower (ซื้อโรงแรมสวิสโซเทล และอาคารสำนักงานเลอคองคอร์ด รัชดาภิเษก) , พัทยา แมริออท รีสอร์ต แอนด์ สปา, โรงแรม แฟร์มอนท์ แบงคอก สุขุมวิท, The Empire Wellness ณ อาคาร “เอ็มไพร์” ,ลานนาทีค เดสทิเนชั่น เฟส 1 จังหวัดเชียงใหม่,Jurassic World: The Experience ณ เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น
ขณะที่โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา ก็มีผลการดำเนินงานที่เติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน
นายธีระยุทธ จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา กล่าวว่าผลประกอบการของเซ็นทาราในปี2567 นับเป็นอีกปีแห่งความสำเร็จ และมีการเติบโตที่สูงกว่าปีก่อนเกิดโควิดแล้ว และถือว่าเติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ มีรายได้รวมอยู่ที่ 12,000 ล้านบาท
แต่ถ้าไม่รวมโรงแรมที่เซ็นทาราร่วมลงทุน จะมีรายได้อยู่ที่ 11,162 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,230 ล้านบาท (12%) เทียบปีก่อน และมีกำไรสุทธิจำนวน 1,097 ล้านบาท เติบโตขึ้น 43% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ในปีนี้เซ็นทารามีแผนเปิดให้บริการโรงแรม 9 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นการรับบริหาร อาทิ โรงแรมที่มัลดีฟส์เพิ่มอีก 1 แห่ง โรงแรมในเวียดนาม 2 แห่ง เกาะบาหลี เกาะพีพี ราชบุรี
รวมถึงเดินหน้าแผนลงทุนในช่วง 3 ปีนี้ อยู่ที่ 19,900 ล้านบาท โดยเป็นตั้งงบไว้ราว 4,000 ล้านบาท ในการมองหาโรงแรมเพิ่มเข้าพอร์ตโฟลิโอ ส่วนอีก 15,000-16,000 ล้านบาท จะเป็นการขยายการลงทุนในธุรกิจโรงแรม ราว 11,100-12,200 ล้านบาท และร้านอาหารราว 3,300 ล้านบาท
ไฮไลท์ คือ การปรับปรุงโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ที่หัวหิน พร้อมสร้างโรงแรมเซ็นทาราไลฟ์ในพื้นที่เดียวกัน การซื้อที่ดินเพิ่มอีก 4 ไร่ ขยายห้องพักโรงแรมเซ็นทารา รีเซิร์ฟ สมุย และการรีแบรนด์โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ กระบี่ เป็น เซ็นทารา รีเซิร์ฟ กระบี่ ซื้อที่ดินเพิ่ม 14 ไร่ ขยายห้องพักโรงแรมเซ็นทาราที่ดูไบ เป็นต้น
ขณะที่ ‘เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท หรือ SHR ก็กวาดรายได้ปี 2567 ทุบสถิติ 10,352 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 55% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อยู่ที่ 134 ล้านบาท
นายไมเคิล เดวิด มาร์แชล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SHR กล่าวว่า นอกจากผลการดำเนินงานที่เติบโตโดดเด่นของทั้งโรงแรมในประเทศไทย และกลุ่มโรงแรมเอาท์ริกเกอร์แล้ว บริษัทฯ ยังสามารถบริหาร RevPAR ของโรงแรมในโครงการ CROSSROADS ให้เพิ่มขึ้นได้ ท่ามกลางภาวะการแข่งขันด้านราคาที่สูงขึ้น
ในปี 2568 นี้ เราจะดำเนินการปรับปรุงโรงแรมในสหราชอาณาจักรอีก 3 แห่งต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา เพื่อยกระดับคุณภาพสินทรัพย์และมาตรฐานการให้บริการ ปรับเปลี่ยนแบรนด์และตำแหน่งทางการตลาด ควบคู่กับการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อพัฒนาศักยภาพในการสร้างรายได้และกำไรของพอร์ทโฟลิโอให้ดียิ่งขึ้น
ทั้งหมดล้วนเป็นภาพรวมผลการดำเนินในปี 2567 และแผนขยายธุรกิจของบิ๊กธุรกิจท่องเที่ยวในตลาดหุ้นที่เกิดขึ้น
หน้า 10 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,076 วันที่ 6 - 8 มีนาคม พ.ศ. 2568