วันนี้ (วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568) นายดิลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจของไมเนอร์ กรุ๊ป ทั่วโลก ในช่วง 3-5 ปีนี้ ว่า ไมเนอร์ ตั้งเป้าหมายขยายธุรกิจโรงแรม จาก 562 โรงแรมในปี 2567 เพิ่มเป็น 850 แห่ง ในปี 2570 และเพิ่มเป็น 1,000 แห่ง ในปี 2572
ส่วนธุรกิจอาหาร ตั้งเป้าหมายขยายร้านอาหารของไมเนอร์ฟู้ด เพิ่มจาก 2,699 แห่ง ในปี 2567 เพิ่มเป็น 4,000 แห่งในปี 2570 และเพิ่มเป็น 4,500 แห่ง ในปี 2572
ทั้งนี้ไมเนอร์ได้ตั้งงบลงทุนในช่วง 3 ปี (ปี 2568-2570) เฉลี่ยอยู่ที่ 11,000 - 12,000 ล้านบาท หรือ ประมาณ 30,000 ล้านบาทในช่วง 3 ปีนี้ ซึ่งการเพิ่มจำนวนโรงแรมและร้านอาหาร ตามเป้าหมายที่วางไว้ จะสร้างรายได้ (CAGR)โตปีละ 6-8%
ส่วนกำไรสุทธิจากการดำเนินงานโตปีละ 15-20% มี อัตราผลตอบแทนต่อเงินลงทุนมากกว่า 12 % จากแผน 3 ปีที่จะการขยายกลุ่มธุรกิจทั่วโลกสู่โรงแรม 850 แห่ง และร้านอาหาร 4,000 แห่งภายในปี 2570
สำหรับในปี 2568 คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 11,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่ใช้ปรับปรุงสินทรัพย์ที่มีอยู่ทั้งในกลุ่มธุรกิจโรงแรม ซึ่งอนาคตยังมองหาโอกาสการเข้าลงทุนในสหรัฐเพิ่มอีก 1 ภูมิภาค จากปัจจุบันที่มีโรงแรม NH Collection ในนิวยอร์กเพียงแห่งเดียว และร้านอาหารส่วนใหญ่จะเน้นขยายแฟรนไชส์เพิ่มในแบรนด์ที่มีอยู่เดิม เช่น Bonchon, GAGA เป็นต้น
ทั้งนี้การเพิ่มพอร์ตโฟลิโอทั้งในธุรกิจโรงแรมกว่า 80% จะเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร (Asset-light Model) หรือการเข้ารับบริหารโรงแรมให้กับเจ้าของโรงแรมเป็นหลัก ส่วนร้านอาหารก็จะเน้นขยายเฟรนไชส์
เนื่องจากทำให้ไมเนอร์มีการเติบโตของกำไรที่ดี โดยบริษัทมีนโยบายรักษาอัตราผลตอบแทนต่อเงินลงทุน (ROIC) มากกว่า 12%
นอกจากนี้ไมเนอร์ เตรียมจัดตั้งทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (กอง REIT) ภายในปีนี้ โดยมูลค่าเบื้องต้นคาดว่ามูลค่าของกองรีท จะอยู่ที่ระดับประมาณ 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 5 หมื่นล้านบาท) โดยคาดว่าจะได้กระแสเงินสดกลับมาประมาณ 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 2.3 หมื่นล้านบาท)
การตั้งกองรีท ( REIT )ดังกล่าว เป็นอีกแนวทางที่จะทำให้อัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (IBD/E) ลดลงอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 0.75 เท่า จากสิ้นปี 67 อยู่ที่ระดับ 0.8 เท่า
ทั้งนี้สำหรับกองทุนดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาจัดตั้งว่าจะเป็นสินทรัพย์ใด และตลาดลงทุนพิจารณาว่าจะอยู่ในประเทศไทยหรือสิงคโปร์
ขณะที่ในปีนี้ทิศทางการเติบโตของไมเนอร์ ยังมาจากการท่องเที่ยวที่เติบโต นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้รับอานิสงส์จากซีรีย์เรื่อง The White Lotus ซีซั่น 3 ที่ใช้โรงแรมในเครือของ MINT ทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ โฟร์ซีซั่นส์ รีสอร์ท เกาะสมุย, อนันตรา ลวานา เกาะสมุย รีสอร์ท, อนันตรา ไม้ขาว ภูเก็ต วิลล่า และอนันตรา บ่อผุด เกาะสมุย รีสอร์ท ส่งผลให้อัตราค่าห้องพัก (ADR) ปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่า 40%
นอกจากนี้ในปี 2568 นี้บริษัทฯ เปิดให้บริการโรงแรมใหม่อีก 54 แห่ง จากที่มีการเซ็นสัญญาไปแล้วกว่า 100 แห่ง เป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของบริษัทฯ อาทิ การเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดตัวโรงแรมเชิงกลยุทธ์ในประเทศสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และซาอุดีอาระเบีย
ทั้งนี้เพื่อขยายการดำเนินงานในตลาดสำคัญที่มีการเติบโตสูง ทั้งยังมองการขยายธุรกิจใหม่อย่าง อนันตรา ลักชัวรี ครูซ การปรับรูปแบบร้านค้าให้มีความหลากหลาย และการขยายแฟรนไชส์
ส่วนหนึ่งของแผนงานเชิงกลยุทธ์สำหรับปี 2567–2570 MINT ตั้งเป้าอัตราการเติบโตของรายได้ต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ที่ 6-8 %
การเติบโตของไมเนอร์ในปีนี้เรายังคงมองว่าเติบโตต่อเนื่อง จากใน ปี 2567 ที่สร้างผลการดำเนินงานทางการเงินที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท โดยมีกำไรสุทธิ 7,750 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43 % เมื่อเทียบกับปี 2567