คณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ (บอร์ดแอลกอฮอล์ฯ) ไฟเขียวขายเหล้า-เบียร์ วันพระใหญ่ "บางพื้นที่" มีมติเห็นชอบให้ผ่อนคลายการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนา 5 วัน ได้แก่ วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา และวันออกพรรษา โดยอนุญาตให้ขายได้ใน "บางพื้นที่" เพื่อไม่ให้กระทบต่อการท่องเที่ยว พร้อมสั่งเร่งออกกฎระเบียบให้ทันก่อนวันวิสาขบูชา เดือนพฤษภาคม 2568 นี้
นายธนากร คุปตจิตต์ อดีตนายกสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า การปลดล็อกช่วงเวลาการขายในวันพระใหญ่จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจร้านอาหาร แม้ในประเทศไทยมีวันสำคัญทางศาสนา 5-6 วันต่อปีเท่านั้น
แต่ประเด็นสำคัฐคือ การเปิดประเทศให้เป็นหมุดหมายสำคัญของการท่องเที่ยวนั้น ย่อมมีความหลากหลายของนักท่องเที่ยว แต่เนื่องจากวันพระเป็นวันสำคัญในวัฒนธรรมพุทธศาสนา และอาจมีการต่อต้านจากประชาชนหากมีการปลดล็อกในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม รัฐบาลต้องมีการนำร่อง เช่นการกำจัดขอบเขตของพื้นที่จำหน่าย
"มีการกล่าวถึงว่าการปลดล็อกในช่วงเวลานี้จะช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในธุรกิจร้านอาหาร ซึ่งจะสามารถเพิ่มรายได้จากการขายอาหารในช่วงเวลานั้นได้ นอกจากนี้ยังมีการเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ ที่มีการควบคุมการขายแอลกอฮอล์ในวันหยุดหรือวันสำคัญเพื่อรักษาวัฒนธรรมและประเพณี" นายธนากรกล่าว
นายธนากร ยกตัวอย่างในประเทศนอร์เวย์มีวิธีการจัดการกับการขายแอลกอฮอล์ในวันอาทิตย์โดยไม่อนุญาตให้มีการขายแอลกอฮอล์ในร้านค้าปลีกทั่วไป แต่อนุญาตให้ขายในร้านอาหารได้ โดยมีข้อกำหนดว่าผู้บริโภคต้องนั่งรับประทานในร้านเท่านั้น ไม่สามารถซื้อกลับบ้านได้
วิธีการนี้ช่วยควบคุมการบริโภคแอลกอฮอล์ในวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันหยุดที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรมและศาสนาในนอร์เวย์ ขณะเดียวกันก็ยังสนับสนุนธุรกิจร้านอาหารให้สามารถดำเนินการได้ในช่วงเวลานี้
ซึ่ง บอร์ดแอลกอฮอล์ฯ มีข้อจำกัดเรื่อง ไฟเขียวขายเหล้า-เบียร์ วันพระใหญ่ "บางพื้นที่" ส่วนพื้นที่อื่น ๆ นอกเหนือจากนี้ ยังคงการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนาสำคัญ คือ วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา และวันออกพรรษา
ทั้งนี้ผู้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามที่ได้รับการยกเว้นให้ขายได้ตามประกาศที่จะออกมานี้ ต้องให้มีการคัดกรองและมาตรมาตรการที่จำเป็นเพื่อการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม ความปลอดภัยของประชาชน และการจำกัดการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ไม่เหมาะสมของเด็กและเยาวชนด้วย
สำหรับขั้นตอนของการประกาศมาตรการนี้ จะนำมติที่ประชุมของคณะกรรมการในการออกประกาศฉบับนี้ไปรับฟังความคิดเห็นภายใน 15 วัน หลังจากนั้นจะส่งให้กระทรวงสาธารณสุขให้การรับรอง และส่งกลับมาให้นายกรัฐมนตรีลงนามก่อนประกาศในราชกิจจานุเบกษา
หลังจากที่ภาคเอกชนนำเสนอข้อเรียกร้องให้ภาครัฐปรับเปลี่ยนกฎหมายควบคุมการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ล่าสุดนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ 4 กระทรวง ประกอบไปด้วย มหาดไทย การท่องเที่ยวและกีฬา ยุติธรรม และสาธารณสุข ร่วมกันศึกษาทบทวนกฎหมายการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ใน 4 ประเด็นได้แก่
โดยขอให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 มี.ค. 2568 เพื่อให้มีผลบังคับใช้ก่อนเทศกาลสงกรานต์ปีนี้
นายธนากร กล่าวว่า การปลดล็อกการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงบ่าย 2 ถึง 5 โมง ถูกมองว่าเป็นโอกาสในการกระตุ้นเศรษฐกิจและสนับสนุนธุรกิจร้านอาหาร โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ร้านค้าซบเซา มีการคาดการณ์ว่าการปลดล็อกในช่วงเวลาดังกล่าวจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับธุรกิจร้านอาหาร โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ลูกค้าไม่สามารถเข้ามาใช้บริการได้ในปัจจุบัน ซึ่งอาจเพิ่มรายได้ได้ถึง 15-45% คาเฟ่และร้านอาหารขนาดเล็กจะสามารถดำเนินการได้ในช่วงบ่าย 2 ถึง 5 โมงเย็น ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาสามารถอยู่รอดได้ในช่วงเวลาที่มีการแข่งขันสูง
ทางด้าน นางอัญชลี ภูมิศรีแก้ว ผู้แทนจาก สมาพันธ์สุราและไวน์นานาชาติแห่งเอเชียแปซิฟิก (Asia Pacific International Spirits & Wines Alliance) หรือ APISWA กล่าวว่า ภาครัฐกำลังเร่งพิจารณา (ร่าง) พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่...)พ.ศ.... ฉบับใหม่ โดยอยากให้มีการพิจารณาปรับแก้ไขในเรื่องของ การจัดโซนนิงของพื้นที่ใหม่ การปรับให้สามารถจำหน่ายผ่านทางออนไลน์หรืออีคอมเมิร์ซได้ และการปรับมาตรการจำกัดในเรื่องเวลาโดยเฉพาะในเรื่องข้อห้ามในวันพระใหญ่
ทั้งนี้หากสามารถปรับแก้ไขในเรื่องนี้ได้ประเมินว่า มีโอกาสส่งผลกระตุ้นต่อภาคธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มสูงถึง 5 หมื่นล้านบาทในเวลาสั้นๆ และขยายถึง 1 แสนล้านบาท ภายในหนึ่งปีนับจากนี้
นายเรวัตร คงชาติ กรรมการสมาคมการค้าธุรกิจร้านอาหารกลางคืน เปิดเผยว่า ภาคธุรกิจร้านอาหารกลางคืนต้องการให้มีการขยายโซนนิ่งใหม่ จากปัจจุบันที่มีทำเลหลักในพัฒน์พงษ์ เพชรบุรี และรัชดา โดยเสนอให้เพิ่มโซนข้าวสารและเลียบด่วนรามอินทรา เพื่อรองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไป
นอกจากนี้ ยังต้องการให้มีการปรับขยายใบอนุญาตสถานประกอบการใหม่ และปรับเวลาเปิดให้บริการให้สอดคล้องกับความเป็นจริง เนื่องจากปัจจุบันกำหนดให้ปิดเวลาเที่ยงคืนเท่านั้น ซึ่งไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวและผู้ใช้บริการ
"หากมีการปรับแก้ไขกฎหมาย มองว่าจะทำให้ภาคธุรกิจร้านอาหารกลางคืนขยายตัวที่ดีขึ้น และส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวของประเทศไทย เนื่องจากในปัจจุบันหลายประเทศไม่ได้มีข้อกำหนดเหมือนกับประเทศไทย" นายเรวัตรกล่าว