MotoGP หรือนี่คือเกมการเมือง!!!

05 มี.ค. 2568 | 06:00 น.

MotoGP หรือนี่คือเกมการเมือง!!! : คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์

*** การแข่งขัน MotoGP ซึ่งเป็นรายการแข่งขันมอเตอร์ไซค์ทางเรียบ “ระดับโลก” เพียงรายการเดียวที่ประเทศไทยมี อาจจะไม่ได้รับการต่ออายุอีกหลังจบสัญญาในปี 2569 มีเสียงลือว่า เป็นเพราะความขัดแย้งทางการเมือง ที่ไม่เว้นช่องว่างเอาไว้แม้แต่การแย่งชิงความเด่นดัง หรือ แย้งฐานเสียง แม้ว่าสิ่งนั้นอาจจะเป็นเพียงเรื่องความสุขเล็กๆ น้อยๆ เพียงไม่กี่อย่างของประชาชน ที่กำลังเครียดอยู่ในจังหวะที่เศรษฐกิจของประเทศยังย้ำอยู่กับที่ก็ตาม...

ต้องรู้ไว้ก่อนว่า แม้การแข่งขัน MotoGP จะไม่ใช่ Soft Power ในรูปแบบของแฟชั่นเสื้อผ้าพื้นเมือง หรือ การแสดงของท้องถิ่น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นการสร้าง Soft Power ในรูแบบของการสร้างการรับรู้ (Brand Awareness) ที่ได้จากจำนวนผู้เข้าชม MotoGP จากในประเทศไทย และที่มาจากทั่วโลก รวมแล้วกว่า 2.3 แสนคน พร้อมทั้งยังเป็นรายการแข่งขันที่สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ และในพื้นที่ได้มากกว่า 5,000 ล้านบาท ทั้งที่มีการจัดแข่งขันที่มีเพียงแค่ 1-2 วัน ต่อปีเท่านั้น 

ว่ากันตามตรง ...เจ๊เมาธ์ไม่ใช่กูรูทางการเมือง ดังนั้นจึงไม่แน่ใจว่า สาเหตุที่ “รัฐ” อาจไม่ต่อสัญญา MotoGP เป็นเพราะว่านี้เป็นเกมในการ “แย่งชิงมวลชน” ของพรรคการเมือง ประมาณว่าเมื่อแย้งไม่ได้ก็ “เตะตัดขา” เพียงเพราะว่าสนามแข่งของ MotoGP อยู่ในพื้นที่ของ “จังหวัดบุรีรัมย์” ซึ่งถือเป็นเขตอิทธิพลของ “พรรคภูมิใจไทย” ซึ่งหลายปีที่ผ่านมามัก “ได้หน้า” จากการจัดรายการแข่งขัน “กีฬาระดับโลก” มาแล้วหลายรายการหรือไม่??? 

หรือหากจะมองว่า หลังจากที่เอกชนอย่าง บมจ. พีทีจี เอ็นเนอยี หรือ PTG เข้ามาทำหน้าที่เป็น “ผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ” ตั้งแต่ปี 2567 แล้วสามารถทำได้ดี สร้างการเข้าถึง และสร้างจำนวนผู้เข้ารวมงานเพิ่มจำนวนมากขึ้น จนทำให้ดูคล้ายกับการ “แย้งชิ้นปลามัน” ทั้งที่ในตอนนั้น เจ้าของลิขสิทธิ์ในประเทศรายเดิมเป็นผู้แจ้งปฏิเสธที่จะลงทุน ซึ่งถ้าหากเป็นจริงก็คงจะเป็นความซวยของ PTG ที่ดันทำดี...ทำได้ถึงจนได้ดีเกินหน้าเกินตา 

ว่ากันตามตรง การต่อสัญญากับ “ดอร์นา สปอร์ต” เจ้าของลิขสิทธิ์ MotoGP ที่บอกว่า มีมูลค่าที่สูงถึง 800 ล้านบาท (รัฐจ่าย 500 ล้านบาท และเอกชนจ่าย 300 ล้านบาท) ดูเหมือนจะไม่ใช่ปัญหา เพราะตัวเลขที่รัฐจะต้องจ่าย 500 ล้านบาท ในความเป็นจริงแล้วได้จ่ายเพียงแค่ 140-150 ล้านบาท 

ส่วนเงินจำนวนที่เหลือมีเอกชนยินดีสนับสนุนจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นเอกชนในพื้นที่ ค่ายรถมอเตอร์ไซค์ ค่ายเครื่องดื่ม หรือ Lifestyle ที่ต่างก็ยินดีควักจ่ายให้ ดังนั้น การที่รัฐจะยอมจ่ายเงินไม่กี่ร้อยล้านบาท แลกเงินหลายพันล้านบาท

สำหรับเจ๊เมาธ์แล้ว ไม่ว่าจะมองในมุมไหนก็ได้ผลเกินคุ้ม 
แต่ก็อย่างว่า...เรื่องของเกมการเมือง เรื่องของอำนาจ และ ฐานมวลชนมันเป็นเรื่องที่ซับซ้อนที่ชาวบ้านอย่างเราคงจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย (มั๊ง)

ดังนั้นถ้ารัฐไม่เอาด้วย โดยเหตุผลว่าลงทุนสูงไปในภาวะที่เศรษฐกิจกำลังแย่ จนพากันคิดอะไรไม่ออก ทุกอย่างก็คงจบ เรื่องมันก็มีอยู่เท่านั้นเองเจ้าค่ะ!!! 

*** พูดตามตรงว่าเรื่องการเปลี่ยนผ่านผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ จาก ดร.ภากร ปีตธวัชชัย มาเป็น นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ คนปัจจุบัน (คนที่ 14) เคยสร้างความหวังให้เจ๊เมาธ์เป็นอย่างมากว่า ตลาดหุ้นฯ ที่เคยจมอยู่กับยุคมืดของกลุ่มคนที่ทำเป็นแค่อยู่ไปเรื่อยๆ 

เมื่อมีคนใหม่ที่ดูเหมือนจะเข้าใจตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะการที่เคยทำงานด้านวานิชธนกิจ (Investment Banking) มากกว่า 20 ปี จะทำให้สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยกลับมาดีขึ้น เพราะหวังว่าจะมีคนทำงานเป็น ได้เข้ามาทำงานสักที...

ห้วงนี้ ทุกอย่างยังไม่เป็นไปอย่างที่เจ๊เมาธ์เคยคิดและเคยหวัง!!!

ที่เจ๊เมาธ์ผิดหวังมากก็คือ นับตั้งแต่ นายอัสสเดช เข้ารับตำแหน่งเดือนกันยายน 2567 มาจนถึงทุกวันนี้ พบว่า ดัชนีหุ้นไทยที่เคยอยู่ที่ระดับ 1450 จุด กลับปรับตัวลงต่อเนื่องจนมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 1200 จุดในปัจจุบัน

เรื่องปัญหากฎเกณฑ์ที่เคยวางระบบเอาไว้แบบ “มวยวัด” ตั้งแต่ผู้บริหารตลาดฯ ชุดก่อนหน้า ที่กลายมาเป็นปัญหาคอขวด จนทำให้ปริมาณการซื้อขายหุ้นมีแต่ถอยหลังลงคลอง นักลงทุนเริ่มส่ายหัวจนถอยห่างออกไปจากตลาดหุ้น ยังไม่เห็นจะได้รับการแก้ไขให้ดีขึ้นแต่อย่างใด

เรื่องของการให้ความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน ที่ผู้บริหารชุดก่อนเคยทำ ด้วยการแถลงข่าวที่อาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่เพื่อเลี่ยงการถูกตั้งคำถาม กลับใช้วิธีการ VDO Call แทนที่จะมาปรากฏตัว พอมาถึงยุคของ นายอัสเดช กลับกลายเป็นว่า ดูเหมือนจะยังปรับตัวให้เข้ากับตลาดหลักทรัพย์ไทยไม่ได้อย่างไรก็ไม่รู้ 

เจ๊เมาธ์ก็ได้ แต่หวังว่า ผู้บริหารตลาดต้องไม่เข้าถึงยาก  แต่เข้าถึงยากก็ไม่ว่า ถ้ามีพัฒนาการที่ดีต่อตลาดและนักลงทุน 
ก็ได้แต่หวังว่าช่วงเวลาที่เหลือ จะเร่งมือทำงาน สร้างความเชื่อมั่น ให้ตลาดฟื้นตัวขึ้นมาโดยเร็ว