จากการที่คณะกรรมการกฤษฎีกาเพิ่มเงื่อนไขคุณสมบัติผู้เล่นกาสิโนลงไปในร่าง พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ โดยระบุให้ผู้เล่นจะต้องมียอดบัญชีเงินฝากไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท ต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลา 6 เดือน และคาดว่าจะมีการเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 11 มี.ค. นั้น
ผศ. ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า ส่วนตัวเห็นด้วยกับการเพิ่มเงื่อนไขของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่มีต่อร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถาบันบันเทิงครบวงจร ปี พ.ศ. ... หรือ พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์ ที่กำหนดให้คนไทยที่จะเข้าไปใช้บริการกาสิโนจะต้องมียอดเงินอยู่ในบัญชีเงินฝากไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งถือเป็นการจำกัดผู้เล่น และช่วยป้องกันผลกระทบทางสังคมได้ด้วย
“ข้อกำหนดดังกล่าวอาจส่งผลต่อการกระจายรายได้และการสร้างเศรษฐกิจให้กับประชาชนในพื้นที่ตั้งกาสิโน เนื่องจากผู้ใช้บริการที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนดในเงื่อนไขนั้นจะเป็นกลุ่มคนที่มักใช้บริการสินค้าและบริการในระดับพรีเมียม เช่น โรงแรมในระดับ 4 – 5 ดาว และคงใช้ระยะเวลาอยู่ในพื้นที่ไม่นานมากนัก ฉะนั้นการกำหนดเงื่อนไขเงินฝาก 50 ล้านบาท ติดต่อกัน 6 เดือน อาจจะทำให้ผู้ประกอบการขนาดย่อม (SME) หรือพ่อค้าแม่ค้ารายย่อยในพื้นที่ไม่ได้รับประโยชน์สักเท่าใด”
ขอเสนอว่ารัฐควรกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติม เช่น กำหนดให้ผู้ประกอบการโรงแรมหรือผู้ประกอบการอื่นๆ ที่อยู่ในพื้นที่ตั้งกาสิโนที่ให้บริการแก่กลุ่มลูกค้าที่มีกำลังทรัพย์ จะต้องจัดซื้อสินค้าและบริการหรือวัตถุดิบจากผู้ประกอบการ SME ในพื้นที่ อย่างน้อย 50 – 60%
รวมไปถึงรายได้ หรือผลกำไรที่มาจากผลประกอบการของกาสิโน ก็ควรจะนำมาจัดเป็นงบความรับผิดชอบสังคมของบริษัท (CSR) โดยบริจาคเงินให้กับการพัฒนาชุมชน โรงเรียน สิ่งแวดล้อม ฯลฯ ในพื้นที่ด้วย
ทั้งนี้การนำงบประมาณของกาสิโนมาจัดเป็นงบ CSR นั้น ควรมีการกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า จะตั้งหรือจัดสรรงบประมาณโดยคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของผลกำไร มิเช่นนั้นก็จะเกิดความไม่ต่อเนื่องในการจัดสรรงบประมาณ และไม่มีมาตรฐาน ส่วนการใช้งบประมาณก็ควรให้ภาคประชาชนในพื้นที่เป็นผู้ระบุว่าควรจะนำงบดังกล่าวไปพัฒนาในด้านใด
อาจจะดำเนินการผ่านกลไก “คณะกรรมการร่วมของการยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชน” ที่มีตัวแทนทั้งจากฝั่งผู้ประกอบการกาสิโน และฝั่งตัวแทนจากชุมชนในพื้นที่ ซึ่งจะเข้ามาร่วมกันกำหนดแผนการพัฒนา CSR รายปี ว่าปีนี้จะนำงบไปพัฒนาด้านใด อย่างไร
อย่างไรก็ดี การที่ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง แสดงความคิดเห็นว่า การกำหนดเกณฑ์เงินฝาก 50 ล้านบาท ติดต่อกัน 6 เดือนจะกีดกันคนไทยอีกกว่า 70 ล้านคนออกจากระบบ และทำให้ต้องกลับไปสู่การพนันผิดกฎหมายเช่นเดิม และไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ของรัฐบาล
ผศ.ดร.เกียรติอนันต์ กล่าวว่า จะมั่นใจได้อย่างไรว่าการมีกาสิโนบนดินจะสามารถแก้ไขปัญหาการเล่นพนันใต้ดินได้ ยกตัวอย่างกรณีการมีสลากกินแบ่งรัฐบาลก็ไม่ใช่เหตุปัจจัยที่จะทำคนไทยเลิกเล่นหวยใต้ดิน เพราะธรรมชาติการเล่นการพนันใต้ดินของคนไทยนั้นมีหลายรูปแบบ ฉะนั้นไม่ใช่ทุกปัญหาจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยการมีกาสิโน ซ้ำร้ายอาจจะกลายเป็นการเพิ่มทางเลือกในการเล่นพนันให้กับคนไทย ทั้งรูปแบบใต้ดินและบนดิน ดังนั้น กระบวนการในการคัดกรองหรือตั้งเงื่อนไขคุณสมบัติผู้เล่นจึงยังคงมีความสำคัญ
“ถ้าเป้าหมายของรัฐบาลคือการลดจำนวนการเล่นการพนัน คิดว่าแทนที่จะย้ายการพนันขึ้นมาอยู่บนดิน เปลี่ยนเป็นส่งเสริมไม่ให้เกิดผู้เล่นหน้าใหม่จะดีกว่าหรือไม่ เพราะการย้ายขึ้นมาอยู่บนดินหมายความว่าเรายังคงมองว่าการพนันเป็นเรื่องที่สังคมรับได้ ที่สำคัญคือการพนันเป็นปัญหาทางสังคม ขณะที่เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์เป็นมิติทางเศรษฐกิจ ดังนั้น เราจะใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจมาแก้ปัญหาทางสังคม มันไม่ได้”