ตลาด CLMV ฟื้น "คาราบาว" โกยกำไร 2.8 พันล้าน โต 48%

03 มี.ค. 2568 | 13:46 น.
อัปเดตล่าสุด :03 มี.ค. 2568 | 14:34 น.

คาราบาวกรุ๊ป เผยผลประกอบการปี 2567 รายได้ 20,964 ล้านบาท โต 11% กำไร 2,843 ล้านบาท โต 48% รับอานิสงส์ต้นทุนลด ตลาด CLMV ฟื้นตัว

นายพงศานติ์ คล่องวัฒนกิจ ประธานผู้บริหารฝ่ายการเงินบริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าผลการดำเนินงานในปี 2567 บริษัทมีรายได้จากการขายรวมเท่ากับ 20,964 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +11% YoY โดยในจำนวนนี้เป็นรายได้จากการดำเนินการผลิตภายใต้เครื่องหมายการค้าของตนเองจำนวน 12,190 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +9% YoY

จากยอดขายเครื่องดื่มบำรุงกำลังคาราบาวแดงในประเทศที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากส่วนแบ่งทางการตลาดเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องช่วยหนุนให้คาราบาวแดงเป็นแบรนด์สินค้าที่ได้รับการยอมรับเป็นอย่างดี

นาย เสถียร เสถียรธรรมะ

อันเป็นผลจากการที่บริษัทฯ ยังคงดำเนินกลยุทธ์หลักคงราคาขายปลีกที่ 10 บาท รวมถึงการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การกระจายสินค้าที่ละเอียดยิ่งขึ้นให้มีเครือข่ายที่กว้างขวางและครอบคลุมมากขึ้นผ่านคู่ค้ารายย่อยระดับอำเภอและระดับตำบล และการเพิ่มจำนวนคู่ค้าของสินค้าเครื่องดื่มบำรุงกำลังผ่านพอร์ทสินค้าของคู่ค้ากลุ่มแอลกอฮอล์เพื่อขยายช่องทางการจัดจำหน่าย

นอกจากนี้ บริษัทฯ มีรายได้จากการรับจ้างจัดจำหน่ายให้แก่บุคคลภายนอกจำนวน 7,621 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +18% YoY จากการจัดจำหน่ายสินค้าประเภทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นหลัก ที่ยังคงได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเพิ่มขึ้น

อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่รายได้จากการจำหน่ายสินค้ากลุ่มอื่นๆเท่ากับ 860 ล้านบาท ลดลง -11% YoY เนื่องจากในไตรมาส 3/2566 บริษัทได้จำหน่ายขวดแก้ว กระป๋องอะลูมิเนียม และบรรจุภัณฑ์ต่างๆให้แก่บริษัทคู่ค้าซึ่งเป็นผู้ผลิตเบียร์คาราบาวและเบียร์ตะวันแดงในปริมาณมากเพื่อเตรียมความพร้อมในการออกสินค้าใหม่สู่ตลาดในช่วงไตรมาส 4/2566

นาย เสถียร เสถียรธรรมะ

รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ที่บริษัทฯ ดำเนินการผลิตภายใต้เครื่องหมายการค้าของตนเองจำนวน 12,190 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +9% YoY โดยในจำนวนนี้เป็นธุรกิจในประเทศและต่างประเทศที่อัตราส่วนร้อยละ 54:46

รายได้จากการขายในประเทศจำนวน 15,352 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +14% YoY จากการเติบโตของเครื่องดื่มคาราบาวแดง เป็นผลจากการที่บริษัทฯ ยังคงดำเนินกลยุทธ์หลักคงราคาขายปลีกที่ 10 บาท ช่วยคนไทยลดค่าครองชีพ ควบคู่กับการสานต่อกิจกรรมทางการตลาดร่วมกับไทยรัฐ ภายใต้แคมเปญบาวแดงช่วยคนไทยสร้างอาชีพช่องไทยรัฐทีวี ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3

ประกอบกับบริษัทฯ ยังคงความแข็งแกร่งจากประสิทธิภาพจากการกระจายสินค้าที่ครอบคลุมด้วยกลยุทธ์ที่บริษัทฯ มุ่งมั่นพัฒนาโครงข่ายในระบบการขายให้เข้มข้นขึ้นและละเอียดยิ่งขึ้น

การสื่อสารที่เข้าถึงผู้บริโภคในการตอกย้ำจุดแข็งของผลิตภัณฑ์และราคาขาย รวมถึงการจัดแคมเปญส่งเสริม การขายแก่ผู้บริโภคในร้านสะดวกซื้อ เช่น ซื้อ 2 ขวดในราคา 18 บาท จากปัจจัยตามที่กล่าวข้างต้น จึงช่วยกระตุ้นการรับรู้และผลักดันยอดขายเครื่องดื่มบำรุงกำลังคาราบาวแดงในประเทศ ส่งผลให้ส่วนแบ่งทางการตลาดเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้น +11% YoY

รายได้จากการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศจำนวน 5,612 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +4% YoY จากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการส่งออกไปยังตลาดในกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งเป็นรายได้หลักจากการส่งออก กลับมาฟื้นตัวดีขึ้น ทั้งประเทศกัมพูชาและเมียนมา

นอกจากนี้ รายได้จากการส่งออกไปยังประเทศเวียดนามยังคงเติบโตต่อเนื่อง +61% YoY สามารถสร้างยอดขายที่เพิ่มขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ ภายหลังจากการร่วมมือกับคู่ค้ารายใหม่ที่มีความสามารถในการกระจายสินค้าให้ครอบคลุมในพื้นที่และเข้าใจตลาด

ตลาด CLMV ฟื้น \"คาราบาว\" โกยกำไร 2.8 พันล้าน โต 48%

รายได้จากการรับจ้างจัดจำหน่ายให้แก่บุคคลภายนอกจำนวน 7,621 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +18% YoY มีปัจจัยเชิงบวกจากความหลากหลาย คุณภาพ รวมถึงความโดดเด่นในตัวผลิตภัณฑ์ซึ่งทำให้สินค้าประเภทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประสบความสำเร็จและได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

รวมถึงประสิทธิภาพการกระจายสินค้าที่กว้างขวาง และครอบคลุมของทุกช่องทางการขาย นอกจากนี้ กลยุทธ์การนำ "เบียร์" มาต่อยอดเป็นเครื่องมือทำการตลาดจึงส่งผลให้ธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เติบโตและแข็งแกร่งขึ้นอีกด้วย

บริษัทฯ มีการกำหนดยุทธศาสตร์ "เบียร์" เพื่อมุ่งเน้น 2 กลยุทธ์หลัก คือ 1. สร้างความนิยมแก่ผู้บริโภคเพื่อสร้างผู้ดื่ม โดยมุ่งเน้นไปที่กลุ่มร้าน On-trade (ผับ บาร์ และร้านอาหารในหัวเมืองใหญ่) งานอีเว้นท์และงานคอนเสิร์ต

รวมถึง Carabao Cup เพื่อเน้นจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ และเพิ่มการรับรู้แบรนด์ของ "Carabao Beer" และ "Tawandang Beer" ให้เป็นที่รู้จักและเข้าถึงผู้บริโภค และ 2. สร้างร้านค้าพันธมิตรเพื่อกระจายความนิยมและกระจายสินค้าให้กว้างขวางและครอบคลุม ผู้บริโภคสามารถหาซื้อสินค้าได้ง่าย

รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ที่บริษัทฯ ว่าจ้างบุคคลภายนอกดำเนินการผลิตจำนวน 293 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +26% YoY จากกาแฟกระป๋อง RTD เป็นหลัก ซึ่งบริษัทฯ ยกเลิกจำหน่ายเพื่อปรับปรุงผลิตภัณฑ์และพัฒนาสูตรใหม่ตั้งแต่ไตรมาส 1/2566 และเริ่มออกจำหน่ายผลิตภัณฑ์ใหม่ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2566 เป็นต้นมา โดยเป็นเครื่องดื่มกาแฟปรุงสำเร็จพร้อมดื่มที่ผลิตจากเมล็ดกาแฟแท้คั่วสด ในราคา 15 บาทที่เข้าถึงได้

รายได้ขายอื่นจำนวน 860 ล้านบาท ลดลง -11% YoY เป็นรายได้จากการผลิตและจำหน่ายขวดแก้ว กระป๋องอะลูมิเนียม และบรรจุภัณฑ์ต่างๆ ให้แก่คู่ค้าซึ่งเป็นบุคคลภายนอกภายใต้การดำเนินงานของ APG ACM และ APM ซึ่งลดลงจากการที่คู่ค้าผู้ผลิตเบียร์คาราบาวและเบียร์ตะวันแดงสั่งซื้อบรรจุภัณฑ์เพื่อเตรียมความพร้อมในการออกสินค้าใหม่สู่ตลาดในช่วงไตรมาส 4/2566

กำไรขั้นต้นและอัตรากำไรขั้นต้น ในปี 2567 บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจำนวน 5,721 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +17% YoY คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นที่ 27% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 26% ในขณะที่ส่วนผสมของความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ตามยอดขาย (Product mix) จากสัดส่วนของรายได้จากการรับจ้างจัดจำหน่ายให้แก่บุคคลภายนอกซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำกว่า เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน (2567: 36%, 2566: 34%)

เป็นผลมาจากกำไรขั้นต้นของสินค้าที่ดำเนินการผลิตภายใต้เครื่องหมายการค้าของตนเองปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน (2567: 39%,2566: 36%) ถึงแม้ว่าราคาน้ำตาลซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักทยอยปรับตัวสูงขึ้นตามสภาวะตลาดในระหว่างปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตามบริษัทฯ สามารถบริหารจัดการวัตถุดิบอื่นรวมถึงต้นทุนบรรจุภัณฑ์ เช่น เศษแก้ว เพื่อลดต้นทุนได้เป็นอย่างดี ตลอดจนต้นทุนพลังงานที่ใช้ในกระบวนการผลิตที่ปรับตัวลดลง ประกอบกับปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับยอดขายทั้งในประเทศและต่างประเทศโดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV ที่กลับมาฟื้นตัวดีขึ้น

ส่งผลต่อต้นทุนผลิตที่ลดลงจากประหยัดต่อขนาด (Economies of scale) รวมถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตขวดแก้ว (Weight Reduction) และกระป๋องอลูมิเนียม (Thickness Reduction) เพื่อลดต้นทุนบรรจุภัณฑ์

ค่าใช้จ่ายขายและบริหาร

ในปี 2567 ค่าใช้จ่ายขายและบริหาร จำนวน 2,349 ล้านบาท ลดลง -12% YoY หรือคิดเป็นสัดส่วนต่อรายได้จากการขายรวมที่ 11% ลดลงจาก 14% ในปีก่อน จากการควบคุมค่าใช้จ่ายทั้งค่าใช้จ่ายการตลาด การส่งเสริมการขาย และค่าใช้จ่ายในการ ดำเนินงานให้คุ้มค่าและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด

ซึ่งเป็นกลยุทธ์หลักที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง รวมถึงค่าธรรมเนียมการเป็นผู้สนับสนุนกีฬาฟุตบอล ลดลง -17% YoY จากการแบ่งปันสิทธิผู้สนับสนุนการแข่งขันฟุตบอล EFL ให้แก่บริษัทคู่ค้าในกลุ่มธุรกิจผู้ผลิตเบียร์คาราบาวและเบียร์ตะวันแดง ในอัตราร้อยละ 50 ของจำนวนเงินที่บริษัทฯ จ่ายให้แก่ EFL ในแต่ละฤดูกาล ตั้งแต่ฤดูกาล 2023/2024 เป็นต้นไป

ในขณะที่ ค่าใช้จ่ายในการบริหาร เพิ่มขึ้น +8% YoY จากค่าใช้จ่ายพนักงานที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก จากการที่พนักงานทุกคนมีส่วนช่วยผลักดันให้องค์กรเติบโตอย่างแข็งแกร่งและเป็นไปตามเป้าหมายที่บริษัทตั้งไว้

ค่าใช้จ่ายทางการเงิน

ในปี 2567 ค่าใช้จ่ายทางการเงินจำนวน 146 ล้านบาท ลดลง -21% YoY เนื่องจากระดับภาระหนี้สินทางการเงินของบริษัทฯปรับตัวลดลงจากการจ่ายชำระเงินกู้ยืมอันเนื่องมาจากการรับชำระเงินจากลูกหนี้การค้าและการจัดการสินค้าคงเหลือที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ส่งผลให้ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของบริษัทฯ ปรับตัวดีขึ้นรวมถึงการจัดการเงินทุนหมุนเวียนมีประสิทธิภาพมากขึ้น แม้ว่าทิศทางดอกเบี้ยนโยบายในประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นตลอดในช่วงที่ผ่านมา

ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคล

ในปี 2567 ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลเท่ากับ 619 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +84% YoY คิดเป็นอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลที่แท้จริง(Effective tax rate) ที่ 18% เพิ่มขึ้นจาก 15% ในปีก่อน จากการได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีจากการส่งเสริมการลงทุนของโรงงานผลิตขวดแก้ว APG ที่สิทธิประโยชน์ที่ได้รับสิ้นสุดไปในระหว่างปี 2567

ทั้งนี้ ในไตรมาส 4/2567 บริษัทฯ บันทึกปรับลดมูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชีในงบกำไรขาดทุนเฉพาะกิจการของบริษัทฯ จำนวน 427 ล้านบาท เมื่อบริษัทฯ ได้ทบทวนมูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงานและพิจารณาแล้วว่ามีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ว่าบริษัทฯ (งบการเงินเฉพาะกิจการ) จะไม่มีกำไรทางภาษีเพียงพอต่อการนำสินทรัพย์ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชีมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม การปรับลดมูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชีถือเป็นรายการที่มิใช่เงินสด จึงไม่กระทบการบริหารกระแสเงินสดของบริษัทฯ และไม่มีผลกระทบต่องบกำไรขาดทุนรวมของบริษัท

กำไรสุทธิและอัตรากำไรสุทธิ

ในปี 2567 กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัทฯ เท่ากับ 2,843 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +48% YoY สะท้อนยอดขายที่เพิ่มขึ้น ต้นทุนที่ปรับตัวลดลง การควบคุมค่าใช้จ่ายดำเนินงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ตามที่กล่าวข้างต้น รวมถึงการแบ่งปันสิทธิผู้สนับสนุนการแข่งขันฟุตบอล EFL ให้แก่บริษัทคู่ค้าในกลุ่มธุรกิจผู้ผลิตเบียร์คาราบาวและเบียร์ตะวันแดงเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการสื่อสารและทำการตลาด

นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายทางการเงินลดลงจากความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของบริษัทฯ ปรับตัวดีขึ้นรวมถึงการจัดการเงินทุนหมุนเวียนมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ฐานะการเงินรวมของบริษัทฯ สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 เมื่อเทียบกับสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566

สินทรัพย์

สินทรัพย์รวม ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 และ 31 ธันวาคม 2566 เท่ากับ 18,378 ล้านบาทและ 19,544 ล้านบาท ตามลำดับ ลดลง 1,166 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักมาจาก (1) ลูกหนี้การค้าและลูกหนี้อื่นลดลง 758 ล้านบาท และ (2) ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ลดลง 385 ล้านบาท

หนี้สิน

บริษัทฯ มีหนี้สินรวม ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 และ 31 ธันวาคม 2566 เท่ากับ 5,287 ล้านบาทและ 8,231 ล้านบาท ตามลำดับ ลดลง 2,944 ล้านบาท ประกอบด้วยหนี้สินหมุนเวียน 4,185 ล้านบาท (เป็นหนี้สินหมุนเวียนจากสถาบันการเงิน 2,156 ล้านบาท) ลดลง 98 ล้านบาท

และหนี้สินไม่หมุนเวียน 1,102 ล้านบาท (เป็นหนี้สินไม่หมุนเวียนจากสถาบันการเงิน 526 ล้านบาท) ลดลง 2,846 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักมาจาก (1) เงินกู้ยืมระยะยาวและส่วนของเงินกู้ยืมระยะยาวที่ถึงกำหนดชำระภายในหนึ่งปี ลดลง 1,555 ล้านบาท (2) เงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงินลดลง 1,143 ล้านบาท และ (3) เจ้าหนี้การค้าและเจ้าหนี้อื่น ลดลง 505 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงอันดับเครดิตองค์กรและอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิไม่มีหลักประกันของบริษัทฯ ที่ระดับ "A" แนวโน้มคงที่จากทริสเรทติ้ง สะท้อนถึงความสามารถในการดำรงอัตราส่วนทางการเงินรวมถึงภาระหนี้สินทางการเงินของบริษัทฯ โดยบริษัทฯยังคงสถานะที่แข็งแกร่งในตลาดเครื่องดื่มชูกำลังภายในประเทศโดยมีแบรนด์สินค้าที่ได้รับการยอมรับเป็นอย่างดีรวมถึงโครงข่ายการกระจายสินค้าที่กว้างขวางและครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ

ส่วนของผู้ถือหุ้น

ส่วนของผู้ถือหุ้นรวม ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 และ 31 ธันวาคม 2566 เท่ากับ 13,091 ล้านบาทและ 11,312 ล้านบาท ตามลำดับ เพิ่มขึ้น 1,779 ล้านบาท สะท้อนกำไรสุทธิสำหรับปี 2567 รวมถึงการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2566 จำนวน 500 ล้านบาท และเงินปันผลระหว่างกาลปี 2567 จำนวน 600 ล้านบาท ตามลำดับ

นอกจากนี้ ในไตรมาส 4/2567 ส่วนของผู้มีส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุมของบริษัทย่อย (สัดส่วนการถือหุ้น ร้อยละ 30) เพิ่มขึ้น 70 ล้านบาท จากการเข้าถือหุ้นในบริษัท เอซีซีวี จำกัด (บริษัทย่อยแห่งใหม่ของบริษัท คาราบาวโฮลดิ้งส์ (ฮ่องกง) จำกัด) ซึ่งประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มในประเทศเมียนมา