คอนโดกทม. ปี 68 แนะผู้ประกอบการเร่งปรับเกม หลังปี 67 ยังชะลอตัวต่อเนื่อง

02 มี.ค. 2568 | 08:40 น.
อัปเดตล่าสุด :02 มี.ค. 2568 | 08:42 น.

ตลาดคอนโดฯ ปี 67 ซบเซา เปิดขายใหม่เพียง 21,680 ยูนิต ผู้ประกอบการเร่งระบายสต็อก คาดปี 68 ยังทรงตัว พร้อมดึงกำลังซื้อต่างชาติช่วยหนุนยอดขาย

ปี 2567 ตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ยังคงอยู่ในภาวะชะลอตัว โดยมีโครงการเปิดขายใหม่เพียง 21,680 ยูนิต ส่วนใหญ่กระจุกตัวตามแนวรถไฟฟ้าที่เปิดให้บริการแล้วถึง 59% และอีก 10% อยู่ตามแนวรถไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้าง เช่น สายสีส้มและสายสีม่วงใต้ แม้ในช่วงไตรมาสที่ 4 จะมีการเปิดขายเพิ่มขึ้นถึง 9,165 ยูนิต แต่ภาพรวมอัตราการขายยังต่ำกว่า 50% ซึ่งสะท้อนถึงความท้าทายของตลาดที่อยู่อาศัย

นายสุรเชษฐ กองชีพ หัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา บริษัท คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ให้บริการด้านการบริหารจัดการทรัพย์สินทั้งในรูปแบบของโครงการและอาคารประเภทต่างๆ เปิดเผยว่า แม้บางโครงการจะมียอดจองสูง แต่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายรายยังคงใช้กลยุทธ์ทยอยเปิดขายบางส่วนของโครงการ เพื่อกระตุ้นกระแสตลาดและค่อยๆ ปรับราคาขึ้น โดยสังเกตได้ว่าโครงการที่เปิดตัวในปี 2567 มีแนวโน้มเป็นอาคารสูงมากกว่า 8 ชั้น และมีจำนวนยูนิตต่อโครงการมากขึ้น

ในแง่ของราคาขายเฉลี่ย พบว่ามีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 10% จากไตรมาสที่ 3 เนื่องจากมีโครงการระดับราคา 200,000 บาทต่อตารางเมตรเข้าสู่ตลาดมากขึ้น โดยพื้นที่ตามแนวรถไฟฟ้ายังคงมีราคาสูงสุดที่ 174,600 บาทต่อตารางเมตร ขณะที่พื้นที่นอกแนวรถไฟฟ้าหรือไม่มีสถานีใกล้เคียง มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 109,400 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งถือว่าสูง เนื่องจากเป็นทำเลที่อยู่ไม่ไกลจากศูนย์กลางเมือง เช่น ถนนจันทน์ บางนา-ตราด และพระราม 3

สำหรับแนวโน้มปี 2568 ผู้ประกอบการยังคงชะลอการเปิดขายโครงการใหม่ และมุ่งเน้นระบายสต็อกที่สร้างเสร็จแล้วควบคู่กับการเปิดตัวโครงการใหม่แบบคัดสรรตามทำเลและระดับราคา โดยคาดว่าจำนวนยูนิตเปิดขายใหม่จะอยู่ระหว่าง 20,000 - 23,000 ยูนิต ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา

คอนโดกทม. ปี 68 แนะผู้ประกอบการเร่งปรับเกม หลังปี 67 ยังชะลอตัวต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ผู้พัฒนาโครงการที่มีทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรร อาจเน้นเปิดขายบ้านจัดสรรมากขึ้น เนื่องจากสามารถหมุนเวียนเงินทุนได้เร็วกว่า และช่วยลดความเสี่ยงจากระยะเวลาการโอนกรรมสิทธิ์ที่ยาวนานของโครงการคอนโดมิเนียม

นายสุรเชษฐ ยังกล่าวถึงกำลังซื้อต่างชาติว่า ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยระบายสต็อกโครงการ โดยผู้ซื้อหลักยังคงเป็นชาวจีน รัสเซีย เมียนมา ไต้หวัน ยุโรป และสหรัฐฯ ผู้ประกอบการไทยจึงต้องเร่งพัฒนากลยุทธ์การขายที่สามารถเข้าถึงลูกค้าต่างชาติได้มากขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นการจัดแคมเปญตลาดเชิงรุก หรือร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรในต่างประเทศ นอกจากนี้ กลุ่มผู้ซื้อชาวจีนที่เข้ามาลงทุนและประกอบธุรกิจในไทยยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่สามารถเดินทางสะดวกและใกล้กับสถานศึกษาเพื่อรองรับบุตรหลาน

ปี 2568 จึงถือเป็นอีกหนึ่งปีที่ตลาดคอนโดมิเนียมต้องเร่งปรับตัว ไม่ว่าจะเป็นการจัดโปรโมชันดึงดูดลูกค้า การขยายช่องทางการขายไปยังตลาดต่างชาติ หรือการปรับกลยุทธ์เปิดตัวโครงการใหม่อย่างรอบคอบ เพื่อให้สอดรับกับกำลังซื้อที่ยังไม่กลับมาฟื้นตัวเต็มที่