รัฐเปิดแผนสถานบันเทิงครบวงจร ดึงลงทุน 1 แสนล้าน ดัน GDP-ท่องเที่ยว

13 ม.ค. 2568 | 14:32 น.
อัปเดตล่าสุด :13 ม.ค. 2568 | 16:04 น.

เปิดแผนรัฐบาลลุยตั้งสถานบันเทิงครบวงจร คาดดึงลงทุน 1 แสนล้าน เพิ่มรายได้ท่องเที่ยว 1.19-2.38 แสนล้านบาท สร้างงาน 15,300 ตำแหน่ง พร้อมยกระดับไทยสู่จุดหมายท่องเที่ยวระดับโลก

รัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินหน้าผลักดันนโยบายจัดตั้งสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) เป็นหนึ่งในนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ ล่าสุดที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) วันที่ 13 มกราคม 2568 มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ....” หรือ “ร่าง พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” ตามที่กระทรวการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ก่อนเสนอให้ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาตามลำดับ

จากคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2567 รัฐบาลมุ่งส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ผ่านการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น (Man-made Destinations) โดยสถานบันเทิงครบวงจรจะเป็นเขตพัฒนาพิเศษเพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวของครอบครัวระดับโลก ประกอบด้วยโรงแรมระดับ 6 ดาว ห้างสรรพสินค้า สถานที่จัดประชุม สวนสนุก สวนน้ำ สนามกีฬา ยอร์ชและครูซซิ่งคลับ ร้านอาหาร ไนต์คลับ รวมถึงกาสิโนที่ถูกกฎหมาย

รัฐบาลประเมินว่าเม็ดเงินลงทุนเบื้องต้นจากการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท พร้อมสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 1.19 - 2.38 แสนล้านบาท

ด้านผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ โครงการนี้จะสร้างการจ้างงานโดยตรง 9,000 - 15,300 ตำแหน่ง คิดเป็นการเพิ่มขึ้นของอัตราการจ้างงานคนไทย 0.03 - 0.05% 

นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดการจ้างงานโดยอ้อมในธุรกิจต่อเนื่อง อาทิ งานด้านการออกแบบ การขนส่ง และธุรกิจโดยรอบ โดยคาดว่าจะสร้างรายได้ให้รัฐประมาณ 12,037 - 39,427 ล้านบาทต่อปี แบ่งเป็นรายได้ภาษีจากกิจการโรงแรม 5 ดาว และสวนสนุก 8,773 - 35,093 ล้านบาทต่อปี รายได้จากกิจการกาสิโนขั้นต่ำ 3,264 ล้านบาทต่อปี และค่าธรรมเนียมการเข้ากาสิโนอีกขั้นต่ำ 3,700 ล้านบาทต่อปี

ผลกระทบจากการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร

ในแง่การท่องเที่ยว คาดว่าจะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 5 - 10% ต่อปี และกระตุ้นการใช้จ่ายในช่วง low season เพิ่มขึ้น 13% พร้อมเพิ่มการใช้จ่ายต่อคนต่อทริปจาก 44,000 บาท เป็น 66,043 บาท

จากกรณีศึกษาความสำเร็จในประเทศเพื่อนบ้าน พบว่าสิงคโปร์สามารถสร้างรายได้ถึง 4.3 แสนล้านบาทต่อปี เพิ่ม GDP 1 - 2% ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ 3 แสนล้านบาท และสร้างการจ้างงาน 20,000 ตำแหน่ง 

ขณะที่เวียดนามสามารถสร้างรายได้ 1.8 แสนล้านบาทต่อปี อินโดนีเซีย 1.4 แสนล้านบาทต่อปี เกาหลีใต้ 3.2 แสนล้านบาทต่อปี  มาเก๊า 1.2 ล้านล้านบาทต่อปี และฟิลิปปินส์ 2.2 แสนล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ญี่ปุ่นก็กำลังจะเปิดในปี 2030 เช่นเดียวกับกลุ่มประเทศ UAE ก็เตรียมโครงการ

รัฐบาลระบุว่าสถานบันเทิงครบวงจรจะมีมาตรการกำกับดูแลที่รัดกุมและโปร่งใส โดยจะคัดเลือกบริษัทที่มีประสบการณ์และมีมาตรฐานการจัดการที่ดีมาบริหารโครงการ พร้อมจำกัดคุณสมบัติของผู้เข้าใช้บริการเพื่อป้องกันผลกระทบต่อเยาวชนและกลุ่มเปราะบาง รวมถึงนำรายได้บางส่วนมาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่และฟื้นฟูเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า สาระสำคัญของกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร เช่น กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร คณะกรรมการบริหารจัดตั้งสำนักงานกำกับการประกอบสถานบันเทิงครบวงจร กำหนดหลักเกณฑ์การอนุญาตให้ประกอบสถานบันเทิงครบวงจร

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและกำกับดูแลเพื่อให้เกิดธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรที่ได้มาตรฐาน เพื่อรองรับการท่องเที่ยวและส่งเสริมการลงทุนในประเทศ อันจะก่อให้เกิดผลดีต่อสังคมในภาพรวมและเป็นการสนับสนุนให้เกิดการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน

รัฐบาลหวังว่าโครงการสถานบันเทิงครบวงจรถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยสู่ระดับโลก สอดคล้องกับแนวโน้มการเติบโตของตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีขนาด 54 ล้านล้านบาทในปี 2022 และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี 7% โดย 4 ใน 7 ประเทศที่มีรายได้จากสถานบันเทิงครบวงจรสูงสุดอยู่ในภูมิภาคนี้