“คิงส์เมนส์ (K)” รุกอีเว้นท์ Pop-Up Store กลุ่มลักซ์ชัวรี่

07 ต.ค. 2565 | 15:30 น.
อัปเดตล่าสุด :07 ต.ค. 2565 | 22:46 น.

ลักซ์ชัวรี่มาแรงมาร์จิ้นดีกว่างานตกแต่งภายใน-ตลาดขยายตัวต่อเนื่อง “คิงส์เมนส์ (K)” ปรับโครงสร้างธุรกิจ จ่อรุก อีเว้นท์ Pop-Up Store กลุ่มลักซ์ชัวรี่ ตั้งเป้ารายได้ปีนี้แตะ 700-800 ล้านบาท

"ลักซ์ชัวรี่" กลายเป็นตลาดที่น่าจับตามองเนื่องจากมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในช่วงโควิดที่ผ่านมา สืบเนื่องจากดีมานด์ในปีะเทศที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วหลังเศรษฐีเมืองไทยหันมาจับจ่ายสินค้า บริการ ลักซ์ชัวรี่ ในประเทศมากขึ้นเพราะการเดินทางไปต่างประเทศถูกปิดกั้น  ส่งผลให้ในช่วงปีนี้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ ลักซ์ชัวรี่ มีความตื่นตัวโดยเฉพาะลักซัวรี่แบรนด์ในห้างสรรพสินค้าที่ต้องการขยายพื้นที่ร้านเพื่อรองรับความต้องการที่มากขึ้น 

นายวงศกร พิเศษสิทธิ์ ผู้จัดการด้านสื่อสารองค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์  บริษัท คิงส์เมนส์ ซี.เอ็ม.ที.ไอ จำกัด (มหาชน) “K”

ทำให้ “คิงส์เมนส์ (K)” หรือบริษัท คิงส์เมนส์ ซี.เอ็ม.ที.ไอ จำกัด (มหาชน) “K” ผู้ประกอบธุรกิจออกแบบและตกแต่งงานอย่างครบวงจร ซึ่งเดิมมีธุรกิจในมือ 4 พอร์ตคือ ธุรกิจงานตกแต่งภายใน, ธุรกิจงานแสดงสินค้าและนิทรรศการ,ธุรกิจการตลาดทางเลือกและ ธุรกิจงานพิพิธภัณฑ์และสวนสนุกแนวคิด เห็นโอกาสและเตรียมรุกธุรกิจ อีเว้นท์ Pop-Up Store กลุ่มลักซ์ชัวรี่

นายวงศกร พิเศษสิทธิ์ ผู้จัดการด้านสื่อสารองค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์  บริษัท คิงส์เมนส์ ซี.เอ็ม.ที.ไอ จำกัด (มหาชน) “K” เปิดเผยว่าทิศทางการดำเนินงานงานตั้งแต่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 ฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลาย ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรฐกิจกลับสู่ภาวะปกติ บริษัทฯในฐานะผู้ประกอบการด้านการออกแบบและตกแต่งภายในงาน Exhibition (เอ็กซิบิชั่น) จึงฟื้นในทิศทางที่ดีขึ้น

 

ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้มีการปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ โดยเน้นรับงาน Interiors ในขนาดโครงการที่เล็กลง และจับกลุ่มลูกค้าที่เป็นระดับลักซ์ชัวรี่ (Luxury) มากขึ้น เช่นงานประเภท Pop-Up Store (งานออกร้านต่างๆ ที่จะจัดในช่วงเวลาสั้นๆ เป็นพื้นที่ให้แบรนด์นำเสนอความโดดเด่นในแบบของตัวเอง) เนื่องจากเป็นกลุ่มลูกค้าระดับลักซ์ชัวรี่ที่ต้องใช้ทักษะการบริหารจัดการสูง และเชื่อว่าหลังจากนี้ลูกค้าในกลุ่มดังกล่าวจะมีการขยายตัวมากขึ้น ตามการขยายตัวของเมือง

ซึ่งในอนาคตหากประชากรเพิ่มขึ้น การขยายตัวของเมืองก็จะเพิ่มขึ้นตามลำดับ ทั้งที่อยู่อาศัยและสำนักงาน ซึ่งสอดคล้องกับภาพรวมเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง หลังสถานกรณ์ของโควิด-19 คลี่คลาย อย่างไรก็ตาม การปรับขนาดของโครงการที่รับงาน ทำให้บริษัทฯส่งมอบงานและรับรู้รายได้เร็วขึ้น

 

 

“พื้นฐานของธุรกิจเราเริ่มต้นจากการรับงาน Exhibitions ต่อมาเราเห็นโอกาสในการขยายไปรับงานในกลุ่ม Event เพิ่มขึ้น ซึ่งงานทั้ง 2 กลุ่มดังกล่าว บริษัทฯมองว่าเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำสม่ำเสมอ (Recurring Income) เพราะมีงานประจำทุกๆ ปี แต่ในช่วง 2 ปีก่อน ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้รายได้จากกลุ่มงานดังกล่าวลดลง ดังนั้น บริษัทฯจึงได้ปรับนโยบายให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน โดยการมารับงานประเภท Pop-Up Store ที่จัดบนพื้นที่ขนาดเล็กลง และจัดในระยะสั้นๆ ซึ่งงานประเภทดังกล่าวปัจจุบันมีออกมาจำนวนมาก และเป็นงานที่รับรู้รายได้เร็ว”

 

 โดยบริษัทฯเชื่อมั่นว่า ภาพรวมตลาดจะยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องไปถึงปี 2566 ทำให้บริษัทฯ คาดการณ์ผลการดำเนินงานในปี 2566 ว่า จะสามารถพลิกเทิร์นอะราวด์ (Turnaround) ได้ โดยจะเห็นการเทิร์นอะราวด์ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 1/2566 เป็นต้นไป ทั้งนี้ โดยปกติในช่วงไตรมาส 1 และไตรมาส 4 ของทุกปี จะเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ โดยในช่วงไตรมาส 1 จะมีงาน MOTOR SHOW และในช่วงไตรมาส 4 จะมีงาน Motor Expo ซึ่งบริษัทฯ มีลูกค้าประจำอยู่พอสมควร

 

ล่าสุดบริษัทมีงานในมือ (Backlog) รวมมูลค่ากว่า 292.7 ล้านบาท เป็น Backlog ของกลุ่มงาน Exhibitions และงาน Event จำนวน 242.4 ล้านบาท จะทยอยรับรู้เป็นรายได้ในช่วงไตรมาส 3-4/2565 ส่วนที่เหลืออีก 50.3 ล้านบาทเป็น Backlog จากกลุ่มงาน Interiors ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 1-2/2566อย่างไรก็ตาม สำหรับปี 2565 บริษัทฯได้วางเป้าหมายรายได้รวมไว้ที่ 700-800 ล้านบาท ซึ่งอาจจะทรงตัว หรือเติบโตขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อนที่มีรายได้รวม 786 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯได้มีการปรับโครงสร้างในส่วนของงาน Interior ให้สอดรับกับภาวะตลาดในปัจจุบัน

 

ดังนั้น ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ จึงยังคงต้องติดตามการเข้ารับงานของกลุ่มดังกล่าวอีกครั้ง ขณะที่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 บริษัทฯมีรายได้รวมแล้วที่ 432.70 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้ในปีนี้จะมาจากกลุ่มงาน Exhibition (เอ็กซิบิชั่น) และงาน Event (อีเว้นท์) ประมาณ 500-600 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะมาจากกลุ่มงานอินทีเรีย (Interior)