พลิกโฉม sasi จาก เครื่องสำอาง สู่แฟชั่น

26 มิ.ย. 2565 | 15:12 น.
อัปเดตล่าสุด :26 มิ.ย. 2565 | 22:13 น.
733

“ศรีจันทร์ฯ” สลัดลุคแบรนด์ sasi จากเครื่องสําอางสู่ Beauty and Lifestyle Brand ประเดิม ปั้นโฮโลแกรม “SS” ตามรอยแบรนด์ดังระดับโลก พร้อมดึง Top item ต่อยอดเป็น product hero ขยายพอร์ตโฟลิโอเจาะเซ็กเมนต์ใหม่ ก่อนปูพรมรุกตลาดไทย-เทศ

นายรวิศ หาญอุตสาหะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จํากัด เปิดเผยว่าแบรนด์ sasi เกิดจากขยายฐานกลุ่มลูกค้าเดิมของแบรนด์ศรีจันทร์ไปสู่กลุ่ม Young Generation มากขึ้น โดยปัจจุบันกลุ่มลูกค้าของ sasi คืออายุตั้งแต่ 16-35 ปี โดยในปีนี้ sasi มีเป้าหมายเปลี่ยนภาพลักษณ์จาก Cosmetics Brand ไปสู่ Beauty and Lifestyle Brand เพื่อเข้าไปอยู่ในชีวิตประจําวันของลูกค้าให้มากขึ้น

 

ด้วยการพัฒนาไลน์สินค้าใหม่ ในกลุ่มเสื้อผ้าแฟชั่น เครื่องประดับ หมวกและกระเป๋า ซึ่งออกแบบมาจากลายโมโนแกรมของ sasi ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากความหมายของศศิที่ แปลว่าพระจันทร์ และตัว s สองตัว ที่มาจากคําว่า sasi โดยมีชื่อเรียกว่า sasi Squad โดยในระยะแรกจะวางจำหน่ายในช่องทางออฟฟิเชียลบนช่องทางออนไลน์ของแบรนด์ และจำหน่ายออฟไลน์ในงานอีเวนต์ของแบรนด์

  พลิกโฉม sasi จาก เครื่องสำอาง สู่แฟชั่น              

ด้านนายระบิล สิริมนกุล ผู้อํานวยการฝ่ายการตลาด กล่าวว่า กลุ่มเป้าหมายของ sasi เป็นคนที่ชอบแฟชั่นตื่นเต้นกับของใหม่ๆตลอด ประจวบกับมีแบรนด์คู่แข่งใหม่ๆเข้ามาสร้างความน่าตื่นเต้นให้กับสินค้ามากขึ้น ทำให้เราเสียลูกค้าบางส่วนไป ขณะเดียวกันเทรนด์เกาหลีมาแรงมาก ช่วงหลังจึงได้ปรับดีไซน์สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ๆเน้นความเรียบง่ายและเล่นเฉดสี

 

แต่เชื่อว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนไปเรื่อยๆตามกระแสได้ เราจะต้องมีจุดยืนมีคาแรคเตอร์ที่ชัดเจนมีภาพจำทำให้คนเห็นว่านี่คือแบรนด์ของเรา นี่คือลายของเรา ซึ่งเราได้แรงบันดาลใจมาจากแบรนด์ระดับโลก ซึ่งมีแพทเทิร์น มีลายที่เป็นตัวตนของเขา ดังนั้นถึงเวลาที่เราควรจะมีของเราบ้าง

              

“ถ้าเราสามารถที่จะทำให้ตัว โมโนแกรม “SS” มีแวลูลในตัวเองไม่ว่าจะไปอยู่บนสินค้าอะไรก็ตามหรือออกมาเป็นของสะสมที่เป็น collection พิเศษ จำนวนจำกัดก็จะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มและกระตุ้นความอยากได้และกลายเป็นภาพจำว่าเป็นโมโนแกรม “SS” คือ sasi แน่นอน”

พลิกโฉม sasi จาก เครื่องสำอาง สู่แฟชั่น               

นอกจากนี้ sasi ยังดึงจุดแข็งผลิตภัณฑ์ Top item มาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ในเซกเมนต์ใหม่ๆเพื่อขยายพอร์ตโฟลิโอ ไปยังเซกเมนต์ใหม่โดยเฉพาะกลุ่ม Color Cosmetics ไม่ว่าจะเป็นทินต์เบาปาก, ดินสอเขียนคิ้ว, บลัชออน, Eyeshadow Day-to-Night, แป้งฝุ่นคุมมันเส้นผม, แป้งประจําวัน, Foundation เป็นต้น

              

“ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เราล๊อนซ์สินค้าที่เป็น Color Cosmetics full option เพราะสินค้าที่เป็น Top item ของเราเป็นกลุ่มลิปสติกและแป้งที่เราขายได้พอๆกัน แต่ในช่วงโควิดแป้งอาจตกไปประมาณ 10-15% แต่ลิปสติกยอดตก 60-70% แต่ยังตกน้อยกว่าภาพรวมตลาดเพราะฉะนั้นหลังโควิดเราก็จะโชว์จุดแข็งเรื่อง cosmetic มาปรับเป็นสินค้าใหม่

พลิกโฉม sasi จาก เครื่องสำอาง สู่แฟชั่น

เช่น Eyeshadow, บลัชออน ให้มีความวาไรตี้ และลูกค้าสามารถเลือกสรรได้ และเราก็ยังโฟกัสตัวแป้งกระป๋องและแป้ง compact ด้วย ส่วนตลาด skincare ตลาดใหม่ที่เรายังจะต้องเรียนรู้อีกเยอะ เป็น direction ใหม่ที่เราจะต้องมุ่งไปเพราะตลาดภาพรวมของสกินแคร์กิน market share 80% ขณะที่คอสเมติกกินสัดส่วนเพียง 20%”

              

นอกจากนี้ sasi ยังให้ความสำคัญกับตลาดต่างประเทศนอกเหนือจากตลาดที่ยัง active อย่างสปป. ลาว และญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศที่ขายดีที่สุดในกลุ่มต่างประเทศและกินส่วนแบ่งตลาดกว่า 60% แล้ว บริษัทยังมีแผนเดินหน้ารุกตลาดจีนอย่างจริงจังอีกครั้งหลังจากหยุดทำการตลาดไปสักระยะหนึ่งจากสถานการณ์โควิด

 

โดย sasi จะดำเนินธุรกิจในจีนผ่านการขายบน official shop ในทีมอลล์ คาดว่าในอนาคตอันใกล้ จีน จะขึ้นมาครองยอดขายอันดับ 1 ในตลาดต่างประเทศ ซึ่งต้องดูอัตราการเติบโต และเลือกวิธีการโปรโมทให้เหมาะสมรวมทั้งศึกษาคู่แข่งว่าทำการตลาดแบบไหน เพราะตลาดจีนมีการแข่งขันที่สูงและรุนแรง

พลิกโฉม sasi จาก เครื่องสำอาง สู่แฟชั่น               

สำหรับเป้าหมายหลักที่เน้นในประเทศก็คือเรื่องของ branding เรื่องของ product portfolio ว่าจะจัดอย่างไรให้เหมาะสม และเรื่องของ distribution หรือช่องทางการจำหน่ายจะต้องเข้าไปถึงทุกหนทุกแห่งให้ได้ ที่ไหนที่คู่แข่งเราไปถึงเราคงจะต้องมีสินค้าของเราไปวาง ซึ่งตอนนี้เราดูแล้วว่าเรายังไปได้เยอะกว่านี้ โดยเฉพาะช่องทางเทรดดิชั่นนอลเทรดต่างจังหวัด ซึ่งเราอาจจะยังไม่ได้แข็งแรงเท่าคู่แข่ง ซึ่งก็ยังคงต้องพัฒนาต่อไป ซึ่งในปี 2564 เราเติบโตตัวเลขหลักเดียว แต่ครึ่งปีแรกนี้เราเห็นสัญญาณที่ดีขึ้น

 

ดังนั้นปีนี้เราน่าจะเติบโตได้เยอะกว่าเดิมหรือเติบโต 2 หลัก เพราะเรามีการปรับแผนและสินค้าหลายๆตัวทำ performance ได้ดีซึ่งเราจะดันขึ้นมาเป็น product hero และในไตรมาส 4 เราจะมีแคมเปญที่เรียกความตื่นเต้นให้กับตลาดได้พอสมควร และที่สำคัญเราจะตรึงราคาสินค้าของเราไว้ให้ได้นานที่สุดอย่างน้อยสิ้นปีเพื่อให้ไม่กระทบผู้บริโภค”

 

หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,795 วันที่ 26 - 29 มิถุนายน พ.ศ. 2565