“โรคเส้นเลือดขอด” มักจะเกิดได้กับคนทั่วไป และหลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะใครๆ ก็เป็นได้ แต่ในความเป็นจริง “โรคเส้นเลือดขอด” อาจลุกลามและกลายเป็นโรคร้ายแรงได้ หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา เพราะอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น แผลที่ขา โรคผิวหนังอักเสบบริเวณขา โรคหลอดเลือดดำโป่งพองแตก ภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ และนำไปสู่การเสียชีวิตได้
เส้นเลือดขอด (Varicose Veins) คือหลอดเลือดดำบริเวณใกล้ชั้นผิวหนัง ที่ขยายตัวเป็นเส้นเลือดคดเคี้ยวและนูนออกมาคล้ายลักษณะตัวหนอน เนื่องจากมีเลือดมาสะสมมากจนเห็นเป็นเส้นเลือดสีเขียวหรือม่วงเข้ม สามารถเกิดขึ้นได้กับหลายส่วนของร่างกาย เช่น บริเวณหลอดอาหาร มดลูก ช่องคลอด เชิงกราน และช่องทวารหนัก แต่โดยส่วนใหญ่มักเป็นที่ขาหรือเท้า
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอด คือ เพศ กรรมพันธุ์ อาชีพ กิจวัตรประจำวัน หญิงตั้งครรภ์และโครงสร้างหลอดเลือด ซึ่งอาการที่พบได้ทั่วไปคือ อาการเจ็บหรือรู้สึกหนักขา, เป็นตะคริวช่วงกลางคืน, บวม ตึง แสบร้อน, รู้สึกเจ็บมากขึ้นเมื่อนั่งหรือยืนเป็นเวลานาน, คันรอบๆ เส้นเลือดเส้นใดเส้นหนึ่งหรือหลายเส้น, อาจมีเลือดออกจากเส้นเลือดที่บิดนูน, อาการปวดในเส้นเลือดบริเวณที่ผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีแดง, เส้นเลือดแข็งหรือเปลี่ยนสี มีอาการอักเสบของผิวหนัง หรือบางรายอาจเกิดอาการอักเสบรุนแรงจนเกิดแผลได้
ระดับความรุนแรงมี 6 ระยะ ได้แก่
ระยะที่ 1 เส้นเลือดมีลักษณะคล้ายใยแมงมุม มักมีขนาดน้อยกว่า 3 มล.
ระยะที่ 2 เส้นเลือดเริ่มปูดเป็นตัวหนอน ขนาดใหญ่มากกว่า 3 มิลลิเมตร และมีอาการปวดเมื่อใช้งานเป็นระยะเวลานาน เช่น นั่ง เดิน หรือ ยืน
ระยะที่ 3 เริ่มมีอาการขาบวม และปวดมากขึ้นถึงแม้จะใช้งานในระยะเวลาสั้น ๆ
ระยะที่ 4 สีผิวที่ขาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำเข้มขึ้น ซึ่งเป็นภาวะอักเสบของผิวหนัง
ระยะที่ 5 แผลหายจากการรักษา แต่ยังมีลักษณะอื่น ๆ ร่วม เช่น ผิวหนังที่เปลี่ยนสีเป็นสีดำ
ระยะที่ 6 เกิดแผลที่เป็นลักษณะเฉพาะของแผลบริเวณหลอดเลือดดำ เช่น ขอบแผลแดง
การรักษาเส้นเลือดขอดขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรงที่เกิดขึ้น ได้แก่
สำหรับการป้องกันเส้นเลือดขอด ควรหลีกเลี่ยงการยืนหรือนั่งเป็นเวลานาน ให้เปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆหลีกเลี่ยงการสวมเสื้อผ้า กางเกง ถุงเท้า หรือถุงน่องที่รัดมากๆ เพราะจะทำให้เลือดไหลเวียนได้ไม่สะดวกไม่ใส่รองเท้าส้นสูงเป็นเวลานาน, ออกกำลังกายเป็นประจำ ทำให้กล้ามเนื้อขาแข็งแรง การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นและควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
ขอบคุณ : โรงพยาบาลเวชธานี
หน้า 15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,957 วันที่ 14 - 17 มกราคม พ.ศ. 2567