ไตรมาสแรกของปี 2025 เราได้เห็นภาพของความร่วมมืออย่างเป็นทางการระหว่างประเทศของ 3 ประเทศ อันได้แก่ จีน ไทย และเมียนมา เป็นครั้งแรกหลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงในประเทศเมียนมาเป็นต้นมา เริ่มจากตัวละครตัวแรกของเรื่อง ได้ปรากฎตัวขึ้น อยู่ในร่างของ “หวาง ซิงหรือ ซิง ซิง” ที่ถูกหลอกลวงให้ผ่านเข้ามาประเทศไทย จากนั้นก็ถูกนำตัวไปสู่นรกของกลุ่มสแกมเมอร์ ในเมืองคาสิโนที่ชเว โก๊ก กู่ เมืองเมียวดี และได้รับการประสานงานช่วยเหลือของทางการไทย ที่ผ่านมาจากคำขอของสถานฑูตจีนประจำประเทศไทย และได้ถูกส่งตัวกลับไปยังมาตุภูมิ นั่นเป็นเพียงฉากแรกของเรื่องราวที่เกิดขึ้น ตามที่เป็นข่าวออกมาที่ทำให้เราได้รับทราบกันนั่นเองครับ
ต่อมาก็เกิด “ยุทธการสามตัด” ที่ทางการไทยได้เริ่มออกนโยบายมา เป็นการแสดงให้มิตรประเทศ ได้เห็นถึงความจริงจังในการจัดการกับกลุ่มมิจฉาชีพ หรือกลุ่มอาชญากรด้านเทคโนโลยี จนกระทั้งมิตรประเทศ(ซึ่งเป็นมหาอำนาจเบอร์ต้นๆของโลก) ได้ส่งคนระดับผู้ช่วยรัฐมนตรี ที่มีความสามารถในด้านการปราบปรามอาชญากร ระดับมือต้นๆ ของประเทศ เข้ามาร่วมดำเนินการปราบปรามกลุ่มมิจฉาชีพนอกราชอาณาจักรของเขา ที่เป็นประชาชนของเขาเกือบทั้งหมด ตามที่สื่อต่างๆในประเทศไทย ทำให้ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่ ต่างชื่นชมยินดีกับผลงานที่เขาได้สร้างขึ้น เพราะหากไม่มีเรื่องราวหรือเหตุการณ์ครั้งนี้ เราคงต้องงอมืองอเท้ารับกรรม จากผลของการกระทำของกลุ่มอาชญากรด้านเทคโนโลยีและพวก อย่างเงียบสงบตามเวรตามกรรมกันไปอีกนานแสนนานละครับ
ส่วนตัวผมได้เห็นภาพข่าวที่ทางการของจีนได้เผยแพร่ออกมา ทำให้ผมเองก็ไม่เข้าใจว่า ตอนที่กลุ่มมิจฉาชีพถูกส่งตัวข้ามแดนมาจากเมียนมามาสู่ไทย ทำไมเจ้าหน้าที่ของเราจึงไม่ได้ทำการพันธนาการใดๆ ต่อคนกลุ่มนั้นเลย อีกทั้งยังมีข่าวออกมาว่า มีบางคนในกลุ่มเหล่านั้นเป็นเพียงผู้ที่ถูกหลอกลวง หรือเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพเท่านั้น
ในขณะที่กลุ่มมิจฉาชีพเหล่านั้น ขณะถูกส่งตัวขึ้นเครื่องบิน บินกลับไปยังสนามบินนานจิง เครื่องบินได้จอดรออยู่ที่สนามบิน เพื่อรอให้เจ้าหน้าที่รักษาความสงบของประชาชน (公安人員) ที่มีจำนวนกว่าสี่ร้อยนาย เดินขึ้นไปบนเครื่องบิน และทำการควบคุมตัวด้วยการหิ้วปีก ด้วยลักษณะสองต่อหนึ่ง เดินลงมาจากเครื่องบิน
ผมมีข้อสังเกตุว่า น่าแปลกใจที่ภาพดังกล่าวไม่ได้เป็นข่าวใหญ่โตในประเทศไทย เพียงแต่มีให้เห็นเป็นภาพข่าวเล็กๆ ตามหน้าหนังสือพิมพ์หรือสื่อบางสื่อเท่านั้น จะเห็นว่าทางการของเขาได้แสดงให้เห็นว่า การปราบปรามกลุ่มมิจฉาชีพนั้น เป็นเรื่องที่เขาจริงจังกับเรื่องนี้มากๆ นี่คือฉากที่สองที่ยังคงคาใจประชาชนอย่างผมเป็นอย่างยิ่งครับ
ต่อมาเราก็ได้เห็นภาพของผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีอำนาจในประเทศเรา ได้เดินทางไปเยี่ยมเยือนเจรจากับมิตรประเทศของเรามากกว่าสองประเทศ แน่นอนที่สำคัญคือในนั้นก็มีประเทศเจ้าภาพของเรื่อง (สาธารณรัฐประชาชนจีน) และประเทศเจ้าของดินแดน(เมียนมา) ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่เรื่องราวต่างๆ ได้อุบัติขึ้นมานานกว่า 3 สัปดาห์
ภาพของฉากดังกล่าวนี้ ส่วนผมมีความดีใจที่ได้เห็นเสียที เพราะนั่นหมายถึงทางการไทยเราได้ตื่นรู้แล้วว่า “กาสิโนหรือการพนัน” เป็นพิษร้ายที่เราไม่ควรจะให้เกิดขึ้นในประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีแผ่นดินติดอยู่กับประเทศไทยเรา (ผมคิดไปเองหรือกำลังฝันกลางวันหรือเปล่า?) แต่ก็ยังมีความย้อนแย้งจากนโยบายของรัฐบาล ที่กำลังจะสร้างศูนย์รวมความบันเทิง (Entertainment Complex) หรือถ้ามองภาพรวมของศูนย์ฯดังกล่าว ก็คือ “กาสิโน” ดีๆ นี่แหละ แหม......มันช่างย้อนแย้งกันสิ้นดีเลยนะครับ
หากเรามามองจากปรากฎการหรือเนื้อเรื่องของละครบทนี้ ในฉากสุดท้ายของการปิดฉาก อาจจะเป็นการตอบคำถามที่ว่า “แล้วใครได้ประโยชน์” จากปรากฎการณ์ดังกล่าวนี้ ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ผมขอเริ่มจากประเทศไทยก่อนนะครับ (โดยไม่ได้ลำเอียงนะครับ) สิ่งที่ประเทศไทยได้ประโยชน์ ผมหวังว่าจะได้เป็นบทเรียนให้แก่ประชาชนคนไทยทุกคนให้เห็นว่า “ลาภมิควรได้” นั้น ไม่ได้ตกมาจากสวรรค์หรือได้มาง่ายๆ หรอกครับ เราต้องทำงานหนักจึงจะได้มา ดังนั้นอย่าได้หลงเชื่อว่า งานเบาๆ เงินดีๆ นั้นมีอยู่จริง ควรจะต้องระวังว่าทุกอย่างที่กลุ่มมิจฉาชีพมานำเสนอ ว่ามีงานให้ไปทำงานเบาๆ นั้น เบื้องหลังอาจจะมีอะไรแฝงใว้หลังม่านเสมอ
อีกประการหนึ่งคือ ปรากฎการณ์ครั้งนี้ อาจจะมีข้าราชการบางคน ที่กระทำการปล่อยปะละเว้น ไม่ได้ใส่ใจหรือหลับตาข้างหนึ่ง เพื่อประโยชน์ที่ไหลเข้ามา หรือที่เรียกว่า “กินตามน้ำ” จะได้รับโทษทัณฑ์เสียบ้าง ดังนั้นจะเป็นบทเรียนให้แก่กลุ่มข้าราชการที่ใส่เกียร์ว่างทั้งหลาย ได้รำลึกใว้ว่า คำว่า ข้าราชการ นั้นมีความหมายคือ การรับใช้ประชาชน ที่จะต้องทำอย่างเต็มกำลังของตนเองจริงๆ
ในส่วนของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน นอกจากจะแสดงให้ชาวโลกได้เห็นภาพของการทำการกวาดล้างกลุ่มมิจฉาชีพอย่างจริงจังแล้ว ยังสามารถแสดงให้มหาอำนาจคู่แข่ง ได้เห็นถึงศักยภาพของจีนว่า แม้จะเป็นประเทศในลัทธิอื่นที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่ก็สามารถทำเรื่องที่ไม่สามารถแก้ไขได้ง่ายๆ ในสายตาของประเทศอื่นๆ แต่สำหรับจีนแล้ว มันง่ายดุจดังพลิกฝ่ามือทีเดียว นอกจากนั้นยังทำให้ประชาชนชาวจีนในประเทศ รับรู้ถึงกลโกงของกลุ่มมิจฉาชีพ เป็นการประชาสัมพันธ์ไปในตัวด้วยครับ
ในขณะที่ประเทศเมียนมา ต้องบอกว่ามีแต่ได้กับได้ เพราะนอกจากสามารถสร้างความสงบสุขในสังคม ให้แก่ประชาชนที่ยืนอยู่ข้างตนเอง ยังสามารถแสดงจุดยืนในการปราบปรามกลุ่มมิจฉาชีพ ที่ฝังตัวอยู่ตามชายแดนของตนเอง เปรียบเสมือนปรสิตที่ติดอยู่บนหลังเต่า ที่ใช้กำลังสลัดเท่าไหร่ก็ไม่หลุด แต่พอจีนยื่นมือเข้ามาช่วยแกะออกให้ ก็เบาตัวไปเยอะทีเดียว นอกจากนี้ยังแสดงให้ชาวโลกที่กำลังแซงชั่นเมียนมาอยู่ให้รู้ว่า ข้ามีผู้มีอิทธิพลยืนอยู่ข้างหลังนะ....
สุดท้ายยังสามารถใช้โอกาสนี้ แสดงตนให้กลุ่มกองกำลังชนชาติพันธ์เห็นอีกด้วยว่า ถึงอย่างไรเมียนมายังต้องเดินหน้าต่อไปได้นั่นเองครับ