KCC หุ้นรวมเซียน

02 ก.ย. 2565 | 04:00 น.
อัปเดตล่าสุด :02 ก.ย. 2565 | 04:04 น.
2.1 k

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ BY…เจ๊เมาธ์

*** ถึงแม้ OR จะไม่สามารถกลับไปที่ราคา 35 บาท/หุ้น ได้อีกเลยตั้งแต่เข้าตลาด แต่เจ๊เมาธ์ยังยืนยังว่า OR เป็นหุ้นที่น่าสนใจอยู่เหมือนเดิม เพราะนอกจากรายได้และกำไรที่เป็นไปในทิศทางดีขึ้นมาตลอด นับตั้งแต่เข้าตลาดเป็นต้นมา OR ก็ยังมีการขยายการลงทุนในธุรกิจที่น่าสนใจเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนกับกลุ่ม “ภิรมย์ภักดี” เพื่อทำธุรกิจเครื่องดื่มสำเร็จรูปพร้อมดื่ม หรือการลงทุนรวมกับกลุ่ม “ดุสิตธานี” เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจอาหาร โดยที่ทาง OR มีสถานีบริการน้ำมัน ปตท. ทั้งในและต่างประเทศ จำนวน 2,473 แห่ง ร้าน Cafe,Amazon ทั้งในและต่างประเทศจำนวน 4,051 สาขา ถือเป็นจุดแข็งในเรื่องของช่องทางจำหน่ายและการกระจายสินค้าที่ได้เปรียบคู่แข่งขันรายอื่นๆ ซึ่งแม้ว่านับปลายปี 64 จนถึงตอนนี้ OR จะพยายามดันราคาขึ้นไปแตะ 28 บาทแต่ก็ไม่สามารถข้ามไปได้มาแล้วถึง 6 ครั้ง แต่เมื่อดูตามทรงแล้วถ้าหาก OR สามารถทะลุข้ามแนวต้านนี้ไปได้ก็มีโอกาสไปต่อได้อีกไกล ถึงตอนนั้นบอกเลยว่าราคาไฮเดิมไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปได้แน่นอนค่ะ

***  ราคาหุ้นของ KCC วิ่งขึ้นมาแรง เพราะกระแส “ตื่นผู้ถือหุ้นใหญ่” หลังปรากฏรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัทไม่ว่าจะเป็น สถาพร งามเรืองพงศ์ (เซียนฮง), สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล (เสี่ยปู่), สุระ คณิตทวีกุล (เศรษฐีเบอร์ 49 ของประเทศ เจ้าของ COM7), และ วัชระ แก้วสว่าง (เสี่ยป๋อง) ซึ่งผู้ถือหุ้นใหญ่ของ KCC เนื่องจากบุคคลเหล่านี้ต่างก็เป็นคนที่มีชื่อเสียงเพราะเป็นนักลงทุนระดับ “โคตรเซียน” และ “เซียนใหญ่” เหล่านี้ก็เป็นกลุ่มของนักลงทุนชั้นแนวหน้า ที่นักลงทุนในตลาดหุ้นชาวไทยหลายรายคอยจับจองอยู่แล้วว่า จะเข้าไปลงทุนหุ้นตัวไหนเพื่อจะได้ซื้อตามบ้าง เพราะเชื่อมั่นว่าหุ้นที่เซียนใหญ่เลือกจะผ่านการคิดและทำการบ้านมาดีแล้ว ประมาณว่าเชื่อในตัว “เซียนใหญ่” มากกว่าที่จะให้ความสนใจหรือพูดถึง ธุรกิจ รายได้ และกำไรของบริษัทนั่นเอง 
 

เจ๊เมาธ์อยากจะบอกว่านักลงทุนใหญ่เหล่านี้ ต่างก็มีต้นทุนที่ต่ำกว่านักลงทุนรายย่อยที่ตามไล่ซื้อหุ้นในภายหลังอยู่ค่อนข้างจะมาก ดังนั้น ถ้าเซียนใหญ่ “ออกของ” เพื่อกำไรก็อย่าร้องนะคะ ของแบบนี้ “เข้าก่อนได้เปรียบกว่า” เจ้าค่ะ....อิอิอิ

*** เหตุผลง่ายๆ ที่นักวิเคราะห์มองว่าที่ราคาหุ้นของ CBG ยังไม่ไปไหน แม้ว่าต้นทุนของบรรจุภัณฑ์เช่น อลูมิเนียม จะปรับตัวดีขึ้นมากแล้ว เป็นเพราะยังมีสินค้าสำเร็จรูปต้นทุนสูงอยู่ในคลังสินค้าเป็นจำนวนมาก ตลาดที่พม่ายังชะลอตัวรวมถึงต้นทุนค่าไฟฟ้า และ ค่าน้ำตาล ที่ปรับสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนที่ลดลงของอลูมิเนียม ไม่สามารถชดเชยส่วนของต้นทุนที่ปรับสูงขึ้นนี้ได้ทั้งหมดนั่นเอง อย่างไรก็ตาม การที่ M150 จะปรับราคาขายขึ้นเป็น 12 บาท ก็จะทำให้ “คาราบาวแดง” ของ CBG มีส่วนแบ่งทางการตลาดที่เพิ่มขึ้นตามมา
 

อย่างไรก็ตาม สำหรับเจ๊เมาธ์แล้ว การที่ราคาหุ้นของ CBG ปรับราคาลงมาอยู่ต่ำกว่า 100 บาท แบบนี้ น่าจะเป็นการพักราคาที่อาจจะต้องใช้เวลาเพื่อรอการฟื้นตัวเพื่อให้กลับไปเล่นรอบที่ 100-110 บาท อีกนานพอสมควร ดังนั้น ถ้าใครอยากเล่นรอบ อาจจะต้องรอดูสัญญาณอีกสักหน่อยนะคะ ตอนนี้คงต้องรอไปก่อนค่ะ 
 

***ดูตามทรง TLI มีโอกาสที่จะขยับราคาขึ้นไปได้ หากสามารถยืนเหนือราคาไอพีโอ (16 บาท) ได้อย่างมั่นคง แต่ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้นได้ราคาหุ้นของ TLI จะต้องถูกขายทำกำไรจากนักลงทุนที่มีทุนต่ำกว่า 16 บาท ซึ่งมีอยู่จำนวนมากไปก่อน และยิ่งหากมองไปที่ช่วงไฮซีซันทางธุรกิจที่จะเข้ามาถึงในช่วงปลายปีที่น่าจะรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาแรกของปี 66 โน้นเลย ซึ่งนั้นก็หมายความว่าราคาหุ้นของ TLI อาจจะยังต้องวนเวียนอยู่ที่ระดับราคา 16 บาทไปอีกสักพัก อย่างไรก็ตามถ้าใครไม่รีบ...และมีเงินเย็นอยู่ในมือและอยากจะเก็บหุ้นตัวนี้เอาไว้ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องเสียหาย อาจจะช้าบ้าง...แต่หุ้นตัวนี้ก็ถือว่าเป็นหุ้นที่ใช้ได้อีกตัวเจ้าคะ 


หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,815 วันที่ 4 - 7 กันยายน พ.ศ. 2565