ประเทศไทยกับความยากจนทางพลังงาน

12 มี.ค. 2568 | 14:06 น.
อัปเดตล่าสุด :12 มี.ค. 2568 | 14:18 น.

ประเทศไทยกับความยากจนทางพลังงาน : คอลัมน์เศรษฐเสวนา จุฬาฯทัศนะ โดย...ผศ.ดร.กรรณิการ์ ดวงเนตร คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4078

เมื่อพูดถึงความยากจน หลายคนมักคุ้นเคยกับความยากจนเชิงรายได้ (Monetary poverty) ซึ่งหมายถึงการขาดแคลนรายได้ หรือค่าใช้จ่ายในการบริโภคปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นต่อการยังชีพ  

ความยากจนนั้นมีหลายแง่มุม บทความนี้จะอธิบายถึงความยากจนทางพลังงาน (Energy poverty)  หลายคนอาจไม่ทราบว่า บางครัวเรือนในประเทศไทยไม่มีไฟฟ้าใช้ หรือในขณะที่ครัวเรือนส่วนใหญ่ใช้ไฟฟ้าหรือ ก๊าซหุงต้มในการประกอบอาหาร ยังมีบางครัวเรือนใช้ฟืนหรือถ่านเป็นเชื้อเพลิงหลักในการประกอบอาหาร หรือโดยเฉลี่ยแล้วครัวเรือนในต่างจังหวัด เจอกับไฟฟ้าดับบ่อยกว่า และนานกว่าครัวเรือนในกรุงเทพฯ 

ความยากจนทางพลังงาน (Energy poverty) หมายถึง การขาดแคลน หรือ ไม่สามารถเข้าถึงพลังงานที่เพียงพอ (Adequate) เชื่อถือได้ (Reliable) และ ราคาไม่แพง (Affordable) เพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐานในการดำรงชีวิต เช่น การให้แสงสว่าง การประกอบอาหาร การทำความร้อน เป็นต้น ความยากจนทางพลังงานอาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาวะ ทั้งทางกาย และ ใจ ก่อให้เกิดการกีดกันทางสังคม การถูกตีตรา ตลอดจนการจำกัดโอกาสทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ (UNDP, 2024)  

การวัดความยากจนทางพลังงาน สามารถพิจารณาได้จากหลายตัวชี้วัด อาทิ

1.การเข้าถึงไฟฟ้า เป็นตัวชี้วัดที่มักถูกใช้เพื่อสะท้อนความสามารถในการเข้าถึงพลังงาน (Energy accessibility) โดยพิจารณาจากร้อยละของครัวเรือนที่สามารถเข้าถึงไฟฟ้าได้

ในกรณีของประเทศไทย แม้ว่าร้อยละของครัวเรือนที่สามารถเข้าถึงไฟฟ้าได้ จะอยู่ในระดับสูง แต่บางพื้นที่ห่างไกลและชนบท อาจยังคงประสบปัญหาความไม่น่าเชื่อถือของการจ่ายไฟฟ้า หรือ โครงสร้างพื้นฐานที่ไม่เพียงพอ  

โดยในปี 2566 ครัวเรือนที่มีไฟฟ้าใช้ทั่วประเทศ คิดเป็นร้อยละ 99.9  ครัวเรือนในกรุงเทพฯ และ 3 จังหวัด ได้แก่ นนทบุรี ปทุมธานี และ สมุทรปราการ ร้อยละ 100 มีไฟฟ้าใช้ สำหรับครัวเรือนในภาคกลาง, เหนือ, ตะวันออกเฉียงเหนือ และใต้ ร้อยละ 100, 99.8, 99.9 และ 100 ตามลำดับ มีไฟฟ้าใช้ (สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567ข) 

2.การเข้าถึงพลังงานสำหรับการประกอบอาหาร การวัดความยากจนทางพลังงานในบริบทนี้ มักพิจารณาจากร้อยละของครัวเรือน ที่ขาดการเข้าถึงพลังงานที่สะอาด ทันสมัย และมีประสิทธิภาพ เพื่อใช้ในการประกอบอาหาร เช่น ก๊าซหุงต้ม (LPG) และ ไฟฟ้า

โดยยังคงพึ่งพาเชื้อเพลิงชีวมวลแบบดั้งเดิม เช่น ฟืนหรือถ่าน ในการประกอบอาหาร ซึ่งก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ และส่งผลกระทบต่อสุขภาพ 

เมื่อสัดส่วนครัวเรือนประเทศใดใช้ก๊าซหุงต้ม ไฟฟ้า หรือเทคโนโลยีสะอาดอื่น ๆ ในการประกอบอาหารอยู่ในระดับต่ำ อาจสะท้อนว่า ประเทศนั้นกำลังประสบปัญหาความยากจนทางพลังงาน ทั้งนี้ หลายประเทศได้กำหนดเป้าหมายที่จะทำให้ครัวเรือนร้อยละ 60 – 80 เข้าถึงการประกอบอาหารโดยใช้พลังงานสะอาดภายในปี ค.ศ. 2030 หรือ พ.ศ. 2573 (Asian Development Bank Institute, 2018)   

สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทย ในปี 2566 พบว่า ครัวเรือนทั่วประเทศที่ใช้เชื้อเพลิงสะอาดเป็นเชื้อเพลิงหลัก ในการประกอบอาหารคิดเป็นร้อยละ 79.3 โดยเมื่อจำแนกตามพื้นที่ พบว่า ครัวเรือนในกรุงเทพฯ รวม 3 จังหวัด ร้อยละ 84.2 ใช้เชื้อเพลิงสะอาดเป็นเชื้อเพลิงหลักในการประกอบอาหาร สำหรับครัวเรือนในภาคกลาง, เหนือ, ตะวันออกเฉียงเหนือ และใต้ ร้อยละ 84.6, 70.4, 70.1 และ 90.6 ตามลำดับ (สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567ข) 

จะเห็นได้ว่า ในบางพื้นที่ของประเทศไทย สัดส่วนของครัวเรือนที่ใช้เชื้อเพลิงสะอาด เป็นเชื้อเพลิงหลักในการประกอบอาหาร มีค่าน้อยกว่าร้อยละ 80 ซึ่งเป็นระดับที่หลายประเทศกำหนดไว้ เป็นเป้าหมายที่ต้องบรรลุ โดยเชื่อว่าเป็นระดับที่ครัวเรือนจะไม่เผชิญกับภาวะความยากจนทางพลังงาน

3.ความถี่และระยะเวลาที่ไฟฟ้าดับ เป็นตัวชี้วัดที่ถูกใช้เพื่อวัดระดับปัญหาความเชื่อถือได้ของพลังงาน (Energy reliability) อาทิ ดัชนีจำนวนครั้งที่ไฟฟ้าดับเฉลี่ยต่อผู้ใช้ไฟ 1 ราย ในแต่ละปี (System Average Interruption Frequency Index; SAIFI) และดัชนีระยะเวลาที่ไฟฟ้าดับเฉลี่ยที่กระทบต่อผู้ใช้ไฟ 1 ราย ในแต่ละปี (System Average Interruption Duration Index; SAIDI)

โดยเมื่อดัชนีเหล่านี้อยู่ในระดับต่ำ หมายถึง เกิดไฟฟ้าดับจำนวนน้อยครั้ง หรือเกิดไฟฟ้าดับในระยะเวลาไม่นาน ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อถือได้ที่ดีของระบบไฟฟ้า

สำหรับประเทศไทย การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (2565) รายงานดัชนี SAIFI เท่ากับ 1.76 ครั้งต่อผู้ใช้ไฟ 1 รายต่อปี ในปี 2565 และค่า SAIDI เท่ากับ 34.98 นาที ต่อผู้ใช้ไฟ 1 รายต่อปี ในปี 2565 ในขณะที่การไฟฟ้านครหลวง (2567) รายงานดัชนี SAIFI เท่ากับ 0.632, 0.569 และ 0.508 ครั้งต่อผู้ใช้ไฟ 1 รายต่อปี ในปี 2565, 2566 และ 2567 ตามลำดับ 

ส่วนดัชนี SAIDI เท่ากับ 20.194, 19.847 และ 15.134 นาทีต่อผู้ใช้ไฟ 1 รายต่อปี ในปี 2565, 2566 และ 2567 ตามลำดับ ซึ่งสะท้อนว่าระบบไฟฟ้าของประเทศไทย มีความเชื่อถือได้ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อีกทั้งค่าดัชนีบางตัว อยู่ในระดับที่ใกล้เคียง หรือต่ำกว่าดัชนีของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยในปี 2566 ดัชนี SAIDI และ SAIFI มีค่าในช่วง 1.022 – 1.348 ครั้ง และ 123.9 - 366.6 นาที ตามลำดับ ซึ่งค่าดัชนีเหล่านี้ของประเทศสหรัฐ ฯ มีความผันผวนตามสภาพอากาศ (U.S. Energy Information Administration, 2023)

4.ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานเมื่อเทียบกับรายได้ เป็นตัวชี้วัดที่มักถูกใช้เพื่อประเมินความสามารถในการจ่ายค่าพลังงาน (Energy affordability) ว่าค่าใช้จ่ายด้านพลังงานเป็นภาระทางเศรษฐกิจต่อครัวเรือนหรือไม่ หรือ ครัวเรือนกำลังเผชิญกับราคาพลังงานที่แพงหรือไม่เหมาะสมหรือไม่ โดยพิจารณาสัดส่วนของรายได้ที่ครัวเรือนใช้จ่ายไปกับพลังงาน เช่น ไฟฟ้า, เชื้อเพลิงสำหรับการขนส่ง และ เชื้อเพลงสำหรับการประกอบอาหาร เป็นต้น 

แม้ครัวเรือนส่วนใหญ่จะสามารถเข้าถึงแหล่งพลังงาน เช่น ไฟฟ้า, LPG ฯลฯ แต่ราคาอาจสูงเกินไป โดยเฉพาะสำหรับครัวเรือนที่มีรายได้น้อย ส่งผลให้เกิดภาวะความยากจนทางพลังงาน ซึ่งเกณฑ์ที่ใช้สะท้อนถึงความยากจนทางพลังงานในบริบทนี้ คือ เมื่อครัวเรือนมีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานมากกว่าร้อยละ 10 ของรายได้ (Boardman, 1991; Moore, 2012)

สำหรับประเทศไทย จากผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ (2567ข) พบว่า ในปี 2566 ครัวเรือนทั่วประเทศมีค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นเฉลี่ยเดือนละ 23,695 บาท ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่อการยังชีพ โดยไม่รวมค่าใช้จ่ายประเภทสะสมทุน (เช่น การซื้อบ้าน/ที่ดิน และเงินออม เป็นต้น) ซึ่งค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นเป็นค่าใช้จ่ายด้านพลังงานเฉลี่ยเดือนละ 2,594 บาท หรือคิดเป็นร้อยละ 10.9 ของค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 

และเมื่อพิจารณาในแต่ละภาค พบว่า ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานต่อค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นของครัวเรือนในกรุงเทพฯ รวม 3 จังหวัด, ครัวเรือนในภาคกลาง, เหนือ, ตะวันออกเฉียงเหนือ และใต้ คิดเป็นร้อยละ 10.1, 11.7, 11.0, 10.9 และ 11.5 ของค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น (ตัวเลขจากการคำนวณโดยผู้เขียน โดยอาศัยข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567ก, 2567ข) หากพิจารณาเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 10 ที่กล่าวไปข้างต้น อาจเป็นที่น่ากังวลว่าครัวเรือนไทย เสี่ยงที่จะเผชิญกับความยากจนทางพลังงานในมิติของความสามารถในการจ่ายค่าพลังงาน 

ทั้งนี้เมื่อพิจารณาสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านพลังงานต่อรายได้  ในปี 2566 ครัวเรือนทั่วประเทศมีรายได้ทั้งสิ้น เฉลี่ยเดือนละ 29,030 บาท ซึ่งเป็นรายได้จากการทำงาน 20,465 บาท (สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567ก) หรือกล่าวได้ว่า ครัวเรือนทั่วประเทศไทยมีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานโดยเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 8.9 เมื่อเทียบกับรายได้ทั้งสิ้น และร้อยละ 12.7 เมื่อเทียบกับรายได้จากการทำงาน

และเมื่อพิจารณาโดยจำแนกตามภาค สัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านพลังงานต่อรายได้ทั้งสิ้นของครัวเรือนในกรุงเทพฯ รวม 3 จังหวัด, ครัวเรือนในภาคกลาง, เหนือ, ตะวันออกเฉียงเหนือ และใต้ คิดเป็นร้อยละ 8.3, 9.5, 8.7, 9.1 และ 9.4 (ตัวเลขจากการคำนวณโดยผู้เขียน โดยอาศัยข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567ก, 2567ข)  

ทั้งนี้ จะเห็นว่า สัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านพลังงานต่อรายได้ทั้งสิ้น มีค่าน้อยกว่าร้อยละ 10 ซึ่งไม่อยู่ในเกณฑ์ที่สะท้อนว่า ไทยกำลังเผชิญกับความยากจนทางพลังงาน 

อย่างไรก็ตาม นอกจากรายได้จากการทำงาน รายได้ทั้งสิ้นยังรวมรายได้ไม่ประจำ รายได้จากแหล่งอื่น หรือ เงินช่วยเหลือ รวมถึงรายได้ที่ไม่เป็นตัวเงินด้วย แต่เมื่อพิจารณาค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน เทียบกับรายได้จากการทำงาน พบว่า มีค่ามากกว่าร้อยละ 10  ตัวชี้วัดที่กล่าวมาข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างของตัวชี้วัดที่มักถูกพิจารณา เมื่อต้องการวัดการมีอยู่ และระดับของปัญหาความยากจนทางพลังงานในแต่ละมิติ 

ทั้งนี้ นอกเหนือจากตัวชี้วัดที่อธิบายข้างต้น สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเมื่อพิจารณาความยากจนทางพลังงาน คือ ความเหลื่อมล้ำ หรือความไม่เสมอภาคทางพลังงาน ซึ่งอาจเกิดจากความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงพลังงาน และความสามารถในการจ่ายค่าพลังงาน ระหว่างพื้นที่เมืองและชนบท

ตลอดจนระหว่างกลุ่มคนที่มีรายได้แตกต่างกัน โดยครัวเรือนในเขตเมือง มักมีการเข้าถึงพลังงาน และความสามารถในการจ่ายค่าพลังงานที่ดีกว่าครัวเรือนในชนบท 

                         ประเทศไทยกับความยากจนทางพลังงาน

ในกรณีของประเทศไทย จากตัวชี้วัดบางตัวที่กล่าวไปข้างต้น จะสังเกตได้ว่า เมื่อจำแนกตามพื้นที่ ตัวชี้วัดบางตัวมีค่าที่แตกต่างกัน อาทิ ครัวเรือนที่มีไฟฟ้าใช้ในกรุงเทพฯ และภาคกลาง (รวมถึงภาคใต้) มีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 100 ในขณะที่ภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือมีสัดส่วนไม่ถึงร้อยละ 100 ซึ่งสะท้อนว่า บางครัวเรือนในภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ ไม่มีไฟฟ้าใช้ 

อีกทั้งครัวเรือนที่ใช้เชื้อเพลิงสะอาดเป็นเชื้อเพลิงหลักในการประกอบอาหารในกรุงเทพฯ ภาคกลาง และภาคใต้ มีสัดส่วนที่มากกว่าร้อยละ 80 ในขณะที่ครัวเรือนในภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือมีสัดส่วนที่น้อยกว่าร้อยละ 80  

ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนว่า บางครัวเรือนยังคงพึ่งพาเชื้อเพลิงชีวมวลแบบดั้งเดิม เช่น ฟืนหรือถ่าน ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากค่าไฟฟ้าหรือราคาก๊าซหุงต้มที่สูงเกินกำลังซื้อ และข้อจำกัดในการเข้าถึงพลังงานทางเลือก เช่น ต้นทุนในการติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ หรือแผงโซลาร์เซลล์ครัวเรือนยังคงสูง 

รวมถึงบางนโยบายของรัฐ เช่น การรับซื้อไฟฟ้าคืนจากครัวเรือนในราคาที่ต่ำกว่าราคาที่ขายให้ครัวเรือน อาจเป็นอุปสรรคต่อการผลิตไฟฟ้าใช้เองของครัวเรือน  

อีกทั้ง เมื่อพิจารณาความถี่และระยะเวลาที่ไฟฟ้าดับ จะพบว่าดัชนีที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาครายงาน มีค่าสูงกว่าดัชนีของการไฟฟ้านครหลวง ซึ่งสะท้อนว่าโดยเฉลี่ยแล้วครัวเรือนในเขตภูมิภาค ประสบกับไฟฟ้าดับบ่อยกว่า และนานกว่าครัวเรือนในเขตจำหน่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวง ซึ่งได้แก่ กรุงเทพฯ นนทบุรี และ สมุทรปราการ  

นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านพลังงานต่อรายได้ทั้งสิ้น พบว่า ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของครัวเรือนในกรุงเทพฯ รวม 3 จังหวัด มีสัดส่วนที่น้อยกว่าของครัวเรือนในภาคอื่น ๆ ความแตกต่างระหว่างพื้นที่เหล่านี้ อาจสะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำทางพลังงานในประเทศไทย

ตัวอย่างตัวชี้วัดข้างต้น เป็นตัวชี้วัดที่มักใช้วัดความยากจนทางพลังงานในแต่ละมิติ

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันได้มีการพัฒนาดัชนีแบบองค์รวมหลายตัว หรือ ที่เรียกว่าดัชนีเชิงหลายมิติ (Multidimensional indices) เพื่อประเมินปัญหาความยากจนทางพลังงานอย่างครอบคลุมมากขึ้น อาทิ ดัชนีความยากจนทางพลังงานเชิงหลายมิติ (Multidimensional Energy Poverty Index; MEPI) ที่ถูกพัฒนาโดย Oxford Poverty & Human Development Initiative; OPHI) เพื่อประเมินความยากจนด้านพลังงานในหลายมิติที่ส่งผลต่อการใช้พลังงานในชีวิตประจำวัน 

โดยมุ่งเน้นที่บริการด้านพลังงาน และใช้ข้อมูลเกี่ยวกับการขาดแคลนพลังงานโดยตรง แทนที่จะใช้ตัวแปรทางอ้อมที่คาดว่าจะมีความสัมพันธ์กัน เช่น ปริมาณการใช้พลังงานหรือไฟฟ้า นอกจากนี้ MEPI ยังพิจารณาจำนวนประชากรที่ยากจนด้านพลังงาน และระดับของความยากจนด้านพลังงานของแต่ละบุคคลด้วย (Nussbaumer, Bazilian, & Modi, 2012)

แม้โดยภาพรวม สัดส่วนการเข้าถึงไฟฟ้าของครัวเรือนไทยจะอยู่ในระดับสูงกว่าร้อยละ 99.9 และการเข้าถึงเชื้อเพลิงสะอาดในการประกอบอาหาร ก็อยู่ในระดับค่อนข้างสูงใกล้เคียงร้อยละ 80 ตลอดจนความถี่ที่เกิดไฟฟ้าดับไม่บ่อยนัก  
เหล่านี้อาจสะท้อนว่า ครัวเรือนไทยไม่ได้กำลังเผชิญกับปัญหาด้านการเข้าถึงและความเชื่อถือได้ของพลังงาน อันอาจนำไปสู่ความยากจนทางพลังงาน 

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่า ครัวเรือนไทยกำลังเผชิญกับปัญหาราคาพลังงานสูง ความไม่มั่นคงทางพลังงาน และความเหลื่อมล้ำทางพลังงาน สำหรับความไม่มั่นคงทางพลังงาน แม้ความถี่ที่เกิดไฟฟ้าดับจะต่ำ แต่ประเทศไทยเผชิญกับความไม่มั่นคงทางพลังงาน เนื่องจากต้องพึ่งพาการนำเข้าพลังงานฟอสซิล เช่น ก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันดิบ 

เพราะการผลิตในประเทศไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศ  ไทยจึงต้องพึ่งพาการนำเข้าพลังงานดังกล่าวจากต่างประเทศ ซึ่งราคามีความผันผวนสูง อีกทั้งไฟฟ้าของไทยมากกว่าร้อยละ 50 ผลิตจากก๊าซธรรมชาติ ซึ่งส่วนหนึ่งต้องนำเข้าเช่นกัน (สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน, 2568) 

และเมื่อพิจารณาค่าใช้จ่ายพลังงาน โดยจำแนกตามประเภทของพลังงาน พบว่า ในปี 2566 ค่าใช้จ่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม (น้ำมันและก๊าซต่าง ๆ สำหรับยานพาหนะและก๊าซหุงต้ม) คิดเป็นร้อยละ 64.4 ของค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ส่วนค่าใช้จ่ายไฟฟ้าคิดเป็นร้อยละ 34.5 สำหรับค่าใช้จ่ายถ่านไม้และฟืนคิดเป็นร้อยละ 1.1 ของค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน   

นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาเทียบกับปี 2565 พบว่า สัดส่วนของค่าใช้จ่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และค่าใช้จ่ายไฟฟ้าคิดเป็นร้อยละ 67.6 และ 31.3 ของค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน (สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567ข) จะเห็นว่า ครัวเรือนไทยมีสัดส่วนภาระค่าใช้จ่ายไฟฟ้าในปี 2566 สูงกว่าปี 2565 

ราคาพลังงานที่สูงย่อมส่งผลให้ค่าครองชีพของประชาชนสูงขึ้น สร้างภาระทางเศรษฐกิจให้กับประชาชน โดยเฉพาะประชาชนที่มีรายได้น้อย อาจต้องจำกัดการใช้พลังงาน หรือ หันไปใช้พลังงานเชื้อเพลิงที่ไม่สะอาด จนส่งผลกระทบต่อสุขภาพและชีวิต ตลอดจนส่งผลให้ความเหลื่อมล้ำถ่างกว้างมากยิ่งขึ้น   

นอกจากนี้ ราคาพลังงานที่สูงยังเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงอาจทำให้ประเทศสูญเสียความสามารถในการแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ อาทิ ราคาพลังงาน เช่น ค่าไฟฟ้าเป็นปัจจัยหนึ่งที่นักลงทุนต่างชาติพิจารณาในการเลือกฐานการผลิต นักลงทุนอาจเลือกประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามและอินโดนีเซียซึ่งมีราคาค่าไฟฟ้าถูกกว่าเป็นฐานการผลิตแทนประเทศไทย 

เมื่อราคาค่าไฟฟ้าสูง บ่อยครั้งตัวแทนของรัฐบาลมักอ้างว่า ราคาไฟฟ้าที่สูง เป็นเพราะต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าที่สูงจากเชื้อเพลิงปิโตรเลียม ที่มีราคาสูงตามตลาดโลก 

อย่างไรก็ตาม แม้เชื้อเพลิงปิโตรเลียมเป็นส่วนหนึ่ง (ร้อยละ 50) ของต้นทุนค่าไฟฟ้า แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ประชาชนล้วนต้องแบกรับอีกส่วนหนึ่ง (ร้อยละ 30) คือ ค่าความพร้อมจ่ายที่จ่ายให้แก่โรงไฟฟ้า แม้ว่าโรงไฟฟ้าเหล่านั้น จะไม่ได้ดำเนินการผลิตไฟฟ้าเลยก็ตาม  

นโยบายรัฐที่อนุมัติให้เอกชนสร้างโรงไฟฟ้าเกินความต้องการใช้ไฟ ทำให้ในปี 2566 ประเทศไทยมีกำลังการผลิตไฟฟ้าที่สูงกว่าการใช้จริงกว่าร้อยละ 47 ซึ่งสูงกว่าหลักการการสำรองไฟฟ้าที่ร้อยละ 15  

ช่วง 16 ปีที่ผ่านมา ประชาชนไทยต้องรับภาระค่าไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าที่ไม่ได้เดินเครื่องเลย 533,197 ล้านบาท (สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย, 2568) เหล่านี้อาจเกิดเป็นคำถามได้ว่า ความเสี่ยงที่ประเทศไทยจะเผชิญกับความยากจนทางพลังงาน โดยเฉพาะในมิติของความสามารถในการจ่ายค่าพลังงาน เป็นผลจากการดำเนินนโยบายรัฐหรือไม่

เมื่อประเทศเผชิญกับภาวะความยากจนทางพลังงาน หรือ มีความเสี่ยงที่จะประสบปัญหาดังกล่าว นโยบายของรัฐจึงมีบทบาทสำคัญในการบรรเทาและแก้ไขสถานการณ์

สำหรับประเทศไทย รัฐหรือผู้กำหนดนโยบายควรเร่งออกแบบ หรือ ทบทวนนโยบายเพื่อบรรเทาปัญหาราคาพลังงานสูง ความไม่มั่นคงทางพลังงาน รวมถึงความเหลื่อมล้ำทางพลังงาน ที่อาจนำไปสู่ปัญหาความยากจนทางพลังงาน เช่น การปรับ

สำหรับกรณีราคาค่าไฟฟ้า รัฐสามารถทำการปฏิรูปโครงสร้างราคาค่าไฟฟ้าในส่วนของต้นทุนการผลิต ตลอดจนการปฏิรูปภาคไฟฟ้าสู่ระบบไฟฟ้าเสรี ลดการผูกขาด เพื่อให้ประชาชนจ่ายค่าไฟฟ้าในราคาที่เป็นธรรม และมีส่วนร่วมในการผลิตไฟฟ้า เป็นต้น  

สำหรับการนำเข้าพลังงาน เช่น ก๊าซธรรมชาติ ปัจจุบันโครงสร้างราคานำเข้า LNG ไม่ได้สะท้อนการแข่งขันด้านราคา รัฐควรปรับโครงสร้างราคาก๊าซ เพื่อให้ราคาก๊าซนำเข้าสะท้อนการแข่งขันด้านราคา (สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย, 2568) ยังผลให้ประชาชนจ่ายราคาพลังงานที่เป็นธรรม 

นอกจากนี้ รัฐควรให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการเข้าถึงพลังงานทางเลือก โดยส่งเสริมให้ประชาชนสามารถใช้พลังงานหมุนเวียนได้อย่างแพร่หลาย ทั้งในระดับครัวเรือน ธุรกิจขนาดเล็ก และภาคอุตสาหกรรม เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าพลังงานจากผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และสร้างความมั่นคงทางพลังงานในระยะยาว 

ในปัจจุบัน แม้ว่าประเทศไทยจะมีนโยบายส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ แต่ต้นทุนการติดตั้งระบบยังคงสูง ทำให้การเข้าถึงพลังงานหมุนเวียนของประชาชนรายได้น้อย เป็นไปได้ยาก

อีกทั้งนโยบายรัฐที่รับซื้อไฟฟ้าจากประชาชนในราคาที่ต่ำกว่าราคาขาย ทำให้ลดแรงจูงใจของประชาชนในการติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ครัวเรือน เหล่านี้ก็เป็นตัวอย่างของนโยบายที่รัฐควรทบทวน  

สุดท้ายนี้ ผู้เขียนขอเชิญชวนผู้อ่านติดตามว่า รัฐหรือผู้กำหนดนโยบาย จะมีการทบทวนนโยบายเดิม หรือกำหนดนโยบายใหม่อย่างไร เพื่อบรรเทาปัญหาราคาพลังงานสูง ความไม่มั่นคงทางพลังงาน และเหลื่อมล้ำทางพลังงาน  

นอกจากนี้ ยังอยากชวนให้ผู้อ่านตั้งคำถามว่า นอกเหนือจากการลดการใช้พลังงาน หรือ เลือกใช้พลังงานหมุนเวียน หากมีกำลังซื้อ เช่น การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ในครัวเรือน หรือการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) แล้ว เราในฐานะประชาชนสามารถทำอะไรเพิ่มเติมได้บ้าง เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาความยากจนทางพลังงาน