การส่งออกถือเป็นเครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เป็นตัวชี้วัดว่า เศรษฐกิจของประเทศในแต่ละปี จะขยายตัวได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งปี 2567 ที่ผ่านมา สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประเมินว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP จะขยายตัวราว 2.6 % ซึ่งเป็นการขยายตัวของภาคส่งออกมากที่สุด
ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์ ออกมาแถลงตัวเลขการส่งออกในเดือนธันวาคม 2567 มีมูลค่า 24,765.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 853,305 ล้านบาท ขยายตัว 8.7%เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ขณะที่ภาพรวมการส่งออกทั้งปี 2567 มีมูลค่าการส่งออก 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 10 ล้านล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ หรือขยายตัว 5.4% เทียบกับปีก่อน
ส่วนแนวโน้มในปี 2568 กระทรวงพาณิชย์คาดว่า การส่งออกทั้งปี 2568 จะขยายตัวได้ที่ 2-3% สะท้อนให้เห็นถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกอาจจะชะลอตัวลง แรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับตํ่าปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อยาวนาน และความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยเฉพาะสงครามการค้าที่กำลังจะเกิดขึ้น
จากการวิเคราะห์ของหลายๆ ฝ่ายมองว่า ภาคการส่งออกของไทยในปี 2568 นี้ จะได้รับผลกระทบจากนโยบายของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าทุกประเภทจากจีนในอัตรา 60% และไทยมีแนวโน้มจะถูกขึ้นภาษีนำเข้าในอัตรา 10-20 % โดยในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 สหรัฐอเมริกาจะนำร่องขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนที่ 10 % ก่อน รวมถึงจะปรับขึ้นภาษีสินค้าจากสหภาพยุโรปด้วย
ถือเป็นการส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวม เนื่องจากราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและต้นทุน ในการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้น จะส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพและประสิทธิภาพในการผลิตสินค้าทั่วโลก
ขณะที่ไทยเองจะได้รับผลกระทบทั้งตรง จากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นและส่งออกได้ลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้ที่ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐ และมีความเสี่ยงถูกปรับขึ้นภาษี ประมาณ 29 กลุ่มสินค้า และทางอ้อมจากความเชื่อมโยงกับห่วงโซ่การผลิตของจีน เพื่อใช้ผลิตส่งออกไปสหรัฐ จะส่งออกได้ลดลง
มีมุมมองจากวิจัยกรุงศรี สะท้อนการแก้ปัญหาว่า หากไทยสามารถมุ่งเน้นไปที่การเจรจาเพื่อบรรลุข้อตกลงทางการค้าพิเศษระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกา อาจช่วยบรรเทาผลกระทบต่ออุตสาหกรรมที่ส่งออกเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานของจีน
ขณะเดียวกัน รัฐบาลควรดำเนินนโยบายการค้าและการต่างประเทศเชิงรุกให้มากขึ้น ทั้งเร่งเจรจาข้อตกลงทางการค้าทั้งกับคู่ค้าเดิม และตลาดใหม่ เช่น อินเดีย ซาอุดิอาระเบีย
เร่งแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างภายในประเทศ ด้วยการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจในภาคอุตสาหกรรม และบริการของไทย สนับสนุนอุตสาหกรรมไฮเทคและบริการสมัยใหม่ ที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้สูงตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งจะเป็นทางออกหนึ่งที่ช่วยบรรเทาผลกระทบจากกระแสสงครามการค้าโลกที่ รุนแรงและเข้มข้นขึ้นได้ระดับหนึ่ง
หน้า 6 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 44 ฉบับที่ 4,065 วันที่ 26 - 29 มกราคม พ.ศ. 2568