เจาะ 5 เทรนด์ Web3 ที่กระแสมาแรงในปีนี้

26 มี.ค. 2566 | 15:41 น.
อัปเดตล่าสุด :26 มี.ค. 2566 | 16:30 น.

เจาะ 5 เทรนด์ Web3 ที่กระแสมาแรงในปีนี้ : คอลัมน์บทความ โดย Binance หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3,873 หน้า 5 วันที่ 26 - 29 มีนาคม 2566

เมื่อตลาดอยู่ในช่วงขาลง เรามักจะได้ยินเสมอว่า “คริปโตถึงกาลอวสานแล้ว” แต่แท้จริงแล้ว ราคาคริปโตไม่ได้เป็นปัจจัยเดียวที่บ่งชี้ถึงภาวะของอุตสาหกรรมคริปโต เพราะในปีที่ผ่านมาความสนใจ การลงทุน และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับคริปโตก็ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ เทรนด์ต่างๆ ในตลาดปัจจุบันยังสะท้อนถึงทิศทางที่ดีขึ้นของการพัฒนาอุตสาหกรรมคริปโต ซึ่งอาจเป็นการปูทางสู่ช่วงเวลาของตลาดกระทิงในอนาคตอันใกล้นี้

 

1. องค์กรต่างๆ กำลังลงทุนในคริปโต

ในปีที่ผ่านมา บริษัทผู้ทรงอิทธิพลกว่า 40 แห่ง เช่น Google, Microsoft และ Blackrock ได้ประกาศการลงทุนใน Web3 และมีแนวโน้มว่าจะมีรายชื่อบริษัทอื่นๆ เพิ่มขึ้นตามมาอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทเหล่านี้ได้ทุ่มเงินเกือบ 6 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในการพัฒนาสตาร์ทอัพและโครงการ ด้านบล็อกเชน 

พร้อมมองเห็นถึงความสำคัญของแนวคิด “การช้อนซื้อเมื่อราคามีการปรับตัวลดลง (buy the dip)” ซึ่งเห็นได้จากการที่พวกเขาพยายามมองหาเทคโนโลยีใหม่ๆ และส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการด้านนวัตกรรม พร้อมผลักดันบริษัทสู่การเป็นผู้นำเพื่อสร้างคุณค่าระยะยาว ให้แก่แบรนด์และลูกค้าของตนเองผ่าน Web3 นั่นเอง

 

 

2. ธุรกิจ B2C ยุคใหม่คือการซื้อ ขาย จ่าย ด้วย Web3

ทั้งนี้ บริษัทต่างๆ ไม่เพียงทุ่มเงินมหาศาลในการลงทุนด้าน Web3 เท่านั้น หากแต่ยังสร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้าผ่านการนำเสนอบริการด้วย Web3 อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น Fidelity, Goldman Sachs และ Blackrock ที่กำลังนำเสนอบริการซื้อขายบิตคอยน์กับลูกค้าของพวกเขา 

ด้านแบรนด์ยักษ์ใหญ่อย่าง McDonalds และ Mastercard ก็ได้ประกาศเปิดระบบให้ลูกค้าสามารถชำระค่าสินค้าและบริการด้วย BTC และเหรียญคริปโตเคอเรนซีอื่นๆ แล้วในบางประเทศ ซึ่งความเคลื่อนไหวนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามอย่างต่อเนื่องในการผลักด้นการใช้คริปโต เนื่องจากการชำระเงินด้วยคริปโตเป็นหนึ่งในวิธีการใช้งานที่เข้าใจง่ายที่สุดและสามารถทำได้ทันที

 


3. นานาประเทศกำลังเปิดรับคริปโต 

การปฏิวัติของ Web3 ได้รับการตอบรับไม่ใช่แค่ในระดับองค์กรเท่านั้น แต่รวมถึงในระดับประเทศด้วย โดยประเทศญี่ปุ่น บาห์เรน ไนจีเรีย และ โดมินิกา ต่างเล็งเห็นถึงโอกาสทั้งในเชิงเศรษฐกิจและวัฒนธรรมจากคริปโต ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชากรภายในประเทศ

ตั้งแต่การสร้างสรรค์นวัตกรรมทางเทคโนโลยี การประกอบกิจการ ตลอดจนโครงการที่สร้างสรรค์และการเชื่อมต่อสังคมเข้าด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น ธนาคารกลางญี่ปุ่นเตรียมทดสอบการใช้งานเยนดิจิทัล ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ช่วยผลักดันการริเริ่มใช้สกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC)  

และสำหรับประเทศตุรกี Binance ได้ส่งมอบเหรียญ BNB (Airdrop) มูลค่ารวมกว่า 5 ล้านเหรียญสหรัฐ ให้แก่ผู้ใช้งาน Binance ทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากโศกนาฏกรรมแผ่นดินไหวครั้งล่าสุด เป็นต้น

 

 

4. Web3 ช่วยเปิดประตูบานใหม่ให้โลกความบันเทิงและการมีส่วนร่วมของชุมชน

การนำเทคโนโลยี Web3 มาประยุกต์ใช้กับอุตสาหกรรมบันเทิงถือเป็นการเพิ่มตัวเลือกในการสร้างสรรค์ผลงานต่างๆ ตลอดจนปูทางไปสู่อนาคตที่เนื้อหาความบันเทิงจะมีความสมจริง เฉพาะเจาะจง และโต้ตอบสื่อสารได้มาก กว่าเดิม อีกทั้งเทคโนโลยีนี้ยังส่งผลให้เกิดการพลิกโฉมรูปแบบของผลตอบแทน (incentive) ลิขสิทธิ์ของเจ้าของผลงาน และช่องทางการสร้างรายได้ผ่าน NFT อีกด้วย

ทั้งนี้ แบรนด์ระดับตำนานเริ่มนำเทคโนโลยี Web3 มาประยุกต์ใช้นอกเหนือไปจากการรับชำระเงิน หรือ ซื้อขายทั่วไปด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น Starbucks ที่เริ่มใช้งาน NFT กับสมาชิก ในขณะที่ Coca-cola, LG, Reddit และ eBay ได้เริ่มประกาศเปิดตัวโครงการ NFT ใหญ่ๆ ด้วยเช่นกัน 

ทั้งนี้ จากงานวิจัยล่าสุดของบริษัทดีลอยท์ เผยว่า NFT ที่เกี่ยวข้องกับกีฬาจะสร้างเม็ดเงินกว่า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2022 โดยในช่วงฟุตบอลโลกที่ ผ่านมา ฟีฟ่า หรือ องค์กรฟุตบอลระดับโลก ได้สร้างบัญชีและแพลต ฟอร์ม NFT ร่วมกับ Algorand ผู้พัฒนาเครือข่ายบล็อกเชน เพื่อให้แฟนฟุตบอลโลกได้เป็นเจ้าของโมเมนท์สำคัญที่เกิดขึ้นในรูปแบบ NFT 

นอกจากนี้ แบรนด์สินค้ากีฬาสุดไอคอนิกอย่าง “Nike” ยังได้ประกาศเปิดตัวคอลเลกชันของสะสมแบบดิจิทัลให้ลูกค้าที่สนใจด้วยเช่นกัน โดย Dune Analytics เปิดเผยว่าสินค้าดังกล่าวของไนกี้ซึ่งอยู่ในรูปแบบ NFT กวาดรายได้ไปแล้วกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐเลยทีเดียว

 

5. นวัตกรรมคริปโตและการพัฒนาที่เกี่ยวข้องกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง 

การพัฒนา Web3 และการประกอบกิจการในอุตสาหกรรมยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่องแม้ตลาดจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม โดยในปี 2022 บรรดาบริษัทธุรกิจเงินร่วมลงทุนได้ทุ่มเงินกว่า 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อดำเนินโครงการคริปโตใหม่ๆ 

โดยกว่า 4,000 โครงการนั้น ได้สร้างความตื่นตัวให้กับชุมชนนักลงทุน พร้อมทั้งยังมีโครงการที่มีความสามารถ หรือ ศักยภาพในการใช้งานจริงเข้าสู่ตลาดในปีที่ผ่านมาอีกด้วย ซึ่ง Binance เองก็ได้ เล็งเห็นโอกาสอันมหาศาลจากการช่วยพัฒนา Web3 จึงได้เดินหน้าลงทุนในโครงการนวัตกรรม คริปโตอย่างไม่หยุดยั้ง  

รวมถึงการร่วมเป็นพันธมิตรกับแบรนด์ดัง ที่เล็งเห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยีนี้ ที่สามารถเพิ่มอิสรภาพทางการเงินของผู้คน ทั้งการฝากเพื่อผลตอบแทน ถือครอง ใช้จ่าย และแจกจ่าย เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจของ Binance ในการให้บริการโครงสร้างพื้นฐานในการจัดการสินทรัพย์ดิจิทัลระดับโลก ซึ่งการเติบโตและการพัฒนาในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง จะเป็นตัวบ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรม แม้สภาวะตลาดจะอยู่ในช่วงขาลงก็ตาม

 

เกี่ยวกับ Binance : เป็นผู้ให้บริการระบบนิเวศบล็อกเชนและโครงสร้างพื้นฐานสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนําของโลก