เอเชียแก้เกมภาษีโต้ตอบ ‘ทรัมป์ 2.0’ ไทยไม่รอดสงครามการค้าเดือด

14 ก.พ. 2568 | 11:31 น.
อัปเดตล่าสุด :14 ก.พ. 2568 | 11:35 น.

สงครามภาษีโต้ตอบสหรัฐฯ กลับมาอีกครั้งภายใต้รัฐบาลทรัมป์ 2.0 หลายประเทศในเอเชีย รวมถึงไทย กำลังเผชิญกับอัตราภาษีใหม่

สงครามภาษีระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้าได้ปะทุขึ้นอีกครั้ง หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กลับมามีอำนาจอีกครั้ง และประกาศ นโยบายภาษีโต้ตอบ (Reciprocal Tariffs) เพื่อกดดันประเทศที่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ สูงกว่าสหรัฐฯ เอง ภาษีใหม่นี้ส่งผลกระทบต่อหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะในเอเชียซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตและการค้าระหว่างประเทศ

แม้ยังไม่มีการระบุอย่างเป็นทางการว่าประเทศใดจะถูกเก็บภาษีใหม่บ้าง แต่แนวโน้มบ่งชี้ว่าสหรัฐฯ กำลังพุ่งเป้าไปที่ประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้ากับอเมริกา ซึ่งรวมถึงจีน เวียดนาม ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอินเดีย

 

เวียดนาม จุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของเอเชีย?

เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดต่อมาตรการภาษีรอบใหม่นี้ ด้วยดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ สูงถึง 123.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีที่ผ่านมา อัตราภาษีนำเข้าของเวียดนามสำหรับประเทศคู่ค้าสถานะพิเศษ (MFN) อยู่ที่ 9.4% ขณะที่สินค้ากลุ่มเครื่องดื่มและยาสูบมีอัตราภาษีเฉลี่ยสูงถึง 45.5%

เวียดนามเคยได้รับผลประโยชน์จากสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ เมื่อผู้ผลิตย้ายฐานการผลิตออกจากจีน แต่มาตรการภาษีของทรัมป์ 2.0 อาจเปลี่ยนเกมนี้ ฮานอยจึงต้องรีบเจรจากับวอชิงตันเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีเพิ่มเติม โดยมีแนวโน้มซื้อสินค้าอเมริกันเพิ่มขึ้น เช่น เครื่องบินและก๊าซธรรมชาติเหลว

อินเดีย ลดภาษีตัวเอง หวังหลีกเลี่ยงภาษีสหรัฐฯ

อินเดียเป็นอีกประเทศที่อาจถูกเพ่งเล็ง เนื่องจากมีอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ สูงสุดถึง 39% ซึ่งสูงกว่าภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่มีต่ออินเดียที่เพียง 3%

เพื่อป้องกันผลกระทบจากภาษีใหม่ อินเดียได้ปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าหลายรายการ เช่น มอเตอร์ไซค์ แบตเตอรี่ลิเธียม และแร่ธาตุสำคัญ พร้อมทั้งเพิ่มการนำเข้าสินค้าพลังงานและอาวุธยุทโธปกรณ์จากสหรัฐฯ ขณะที่นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี เตรียมเจรจากับทรัมป์เกี่ยวกับข้อตกลงการค้าเสรีที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

 

ญี่ปุ่น รักษาสถานะ ‘ประเทศโปรด’ ของทรัมป์

แม้ญี่ปุ่นจะมีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ ที่ 68.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลโตเกียวจะสามารถรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับวอชิงตันได้

ญี่ปุ่นเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเฉลี่ย 3.7% ซึ่งอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ไม่มีแรงกดดันมากนักจากมาตรการภาษีของทรัมป์ 2.0 นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังได้สัญญาว่าจะเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ เป็น 1 ล้านล้านดอลลาร์ และตกลงนำเข้าก๊าซธรรมชาติเพิ่มเติมจากอเมริกา

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าญี่ปุ่นจะรอดพ้นจากการถูกขึ้นภาษีครั้งนี้ไปได้

 

จีน ตอบโต้แบบ ‘นิ่มนวล’ เพื่อเปิดช่องเจรจา

จีนยังคงเป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งของทรัมป์ โดยสหรัฐฯ เพิ่งประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีก 10% ในขณะที่จีนเองตอบโต้โดยขึ้นภาษีถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติเหลว และรถยนต์จากสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม การตอบโต้ของจีนดูเหมือนจะเป็นการปรับอย่างระมัดระวัง คิดเป็นมูลค่าเพียง 13.9 พันล้านดอลลาร์ หรือ 0.5% ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมดของจีน แสดงให้เห็นว่าปักกิ่งยังเปิดช่องทางเจรจากับวอชิงตันอยู่

เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย เดินเกมล็อบบี้ หวังหลีกเลี่ยงภาษี

เกาหลีใต้และออสเตรเลียเป็นสองประเทศที่พยายามล็อบบี้สหรัฐฯ อย่างหนัก เพื่อขอรับการยกเว้นภาษี

เกาหลีใต้ซึ่งมีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ 66 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ กำลังเดินหน้าต่อรองให้สหรัฐฯ อนุญาตให้นำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมโดยไม่ถูกเก็บภาษีเพิ่มเติม

ขณะที่ออสเตรเลียหวังพึ่งพาความสัมพันธ์พิเศษกับสหรัฐฯ เนื่องจากออสเตรเลียเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่สหรัฐฯ ได้เปรียบดุลการค้า ซึ่งอาจทำให้ทรัมป์พิจารณายกเว้นภาษีให้

 

ไทยติดร่างแหไปด้วย?

แม้จะยังไม่มีการยืนยันชัดเจน แน่นอนว่ามาตรการภาษีรอบนี้จะกระทบเศรษฐกิจไทย เนื่องจากไทยมีการส่งออกไปสหรัฐฯ จำนวนมาก โดยเฉพาะสินค้าอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม หากสหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้ากลุ่มนี้ ไทยอาจต้องใช้กลยุทธ์เดียวกับเวียดนามและอินเดีย นั่นคือการเพิ่มการนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ หรือหาข้อตกลงทางการค้าใหม่เพื่อรักษาสมดุล

 

‘สงครามภาษี’ จะจบลงอย่างไร? สงครามภาษีรอบใหม่ของทรัมป์ 2.0 กำลังเปลี่ยนสมดุลเศรษฐกิจโลก หลายประเทศในเอเชียกำลังเร่งหาแนวทาง ‘แก้เกม’ ไม่ว่าจะเป็นการลดภาษี การเพิ่มการนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ หรือการล็อบบี้เพื่อขอยกเว้นภาษี สุดท้ายแล้ว สหรัฐฯ จะยอมอ่อนข้อให้บางประเทศ หรือยกระดับสงครามการค้าต่อไป คำตอบคงขึ้นอยู่กับการเมืองและยุทธศาสตร์ของแต่ละประเทศ ซึ่งโลกต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด

 

อ้างอิง: CNBC, Aljazeera, Reuters