โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังจุดประกายให้เกิดแรงกระเพื่อมครั้งใหม่ในเวทีเศรษฐกิจโลกด้วยมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม 25% โดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ทรัมป์อธิบายว่ามาตรการนี้จะช่วยปกป้องอุตสาหกรรมของอเมริกา เพิ่มการจ้างงาน และลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ แต่นักวิเคราะห์หลายฝ่ายเตือนว่าผลกระทบอาจรุนแรงและย้อนกลับมาทำร้ายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เอง หากมาตรการดังกล่าวถูกบังคับใช้อย่างเต็มที่ อัตราภาษีเฉลี่ยของสหรัฐฯ จะพุ่งสูงขึ้นจนแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ทศวรรษ 1940 ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของระบบการค้าเสรีที่ดำเนินมายาวนานนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง
การกำหนดภาษีใหม่ครั้งนี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อประเทศคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐฯ โดยเฉพาะแคนาดา เม็กซิโก และบราซิล ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์หลักของเหล็กและอะลูมิเนียมให้กับอุตสาหกรรมอเมริกัน แคนาดาถือเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากเป็นผู้ส่งออกอะลูมิเนียมไปยังสหรัฐฯ มากกว่าครึ่งของปริมาณนำเข้าทั้งหมด แฟรงซัวส์-ฟิลิปป์ ชองปาญ รัฐมนตรีอุตสาหกรรมของแคนาดา ออกมาประณามมาตรการนี้ว่า “ไม่เป็นธรรมโดยสิ้นเชิง” พร้อมย้ำว่า เหล็กและอะลูมิเนียมของแคนาดามีบทบาทสำคัญต่อภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ตั้งแต่กลาโหมไปจนถึงยานยนต์
ทันทีที่ข่าวภาษีใหม่ออกมา ตลาดหุ้นก็เกิดความผันผวนอย่างเห็นได้ชัด หุ้นของบริษัทผู้ผลิตเหล็กในสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นทันที เช่น Cleveland-Cliffs ที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นเกือบ 20% แต่ในขณะเดียวกัน ค่าเงินดอลลาร์แคนาดาและเปโซเม็กซิโกกลับอ่อนค่าลง ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจโดยรวมของมาตรการนี้
แม้ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ จะยืนยันว่าจะไม่ยกเว้นภาษีให้กับประเทศใดๆ แต่หลายฝ่ายเชื่อว่ามาตรการนี้เป็นเพียง “เกมต่อรอง” ที่ทรัมป์ใช้กดดันพันธมิตรทางการค้า นักวิเคราะห์บางคนมองว่านี่คือกลยุทธ์ที่ทรัมป์เคยใช้มาแล้วในปี 2018 ซึ่งในตอนนั้น ทรัมป์เคยประกาศภาษีเหล็ก 25% แต่ภายหลังได้เจรจาให้มีข้อยกเว้นสำหรับบางประเทศ เช่น แคนาดา เม็กซิโก และออสเตรเลีย ดักลาส เออร์วิน ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จาก Dartmouth College กล่าวว่า “นี่ดูเหมือนเป็นฉากซ้ำของปี 2018 คำถามใหญ่คือ นี่เป็นเพียงเกมต่อรอง หรือทรัมป์ต้องการกีดกันการค้าอย่างจริงจัง”
ประเทศต่างๆ กำลังเร่งหาทางออกจากสถานการณ์นี้ แคนาดากำลังพิจารณามาตรการตอบโต้ทางการค้า และอาจลดการพึ่งพาสหรัฐฯ ในฐานะคู่ค้าหลัก ออสเตรเลียแม้จะอยู่ในรายชื่อประเทศที่ต้องเผชิญภาษี แต่ดูเหมือนว่าทรัมป์อาจยกเว้นให้ เนื่องจากสหรัฐฯ มีดุลการค้ากับออสเตรเลีย และเหล็กจากออสเตรเลียยังถูกใช้ในอุตสาหกรรมกลาโหมของสหรัฐฯ อีกด้วย
ในฝั่งยุโรป อูร์ซูลา ฟอน แดร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ออกมาเตือนว่า หากสหรัฐฯ บังคับใช้ภาษีนี้โดยไม่มีเหตุผลที่สมควร สหภาพยุโรปจะใช้มาตรการตอบโต้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง ด้านสหราชอาณาจักร อุตสาหกรรมเหล็กกังวลว่าภาษีนี้จะส่งผลเสียร้ายแรงต่อภาคการส่งออก
อินเดียแม้จะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง เนื่องจากส่งออกเหล็กไปสหรัฐฯ ในปริมาณน้อย แต่ก็มีความกังวลว่าเหล็กล้นตลาดจากประเทศอื่นๆ อาจทะลักเข้าสู่ตลาดอินเดียและส่งผลต่อราคาภายในประเทศ นาวีน จินดาล ประธานสมาคมเหล็กอินเดีย กล่าวว่ามาตรการภาษีของสหรัฐฯ อาจทำให้การส่งออกเหล็กไปยังอเมริกาลดลงถึง 85% และทำให้เหล็กส่วนเกินจำนวนมากไหลเข้าสู่ตลาดอินเดีย ซึ่งอาจสร้างความเสียหายให้กับอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศได้
เกาหลีใต้ ซึ่งเป็นผู้ส่งออกเหล็กรายใหญ่ไปยังสหรัฐฯ กำลังอยู่ในช่วงพิจารณาหาทางออก รัฐมนตรีการค้าของเกาหลีใต้ระบุว่ารัฐบาลกำลังพิจารณาทางเลือกในการเจรจากับสหรัฐฯ โดยอาจใช้แนวทางเดียวกับปี 2018 ซึ่งในครั้งนั้น เกาหลีใต้ได้รับข้อยกเว้นจากภาษีของทรัมป์ แลกกับการจำกัดปริมาณการส่งออกเหล็กไปยังสหรัฐฯ
ในระยะยาว นักเศรษฐศาสตร์มองว่ามาตรการของทรัมป์อาจผลักดันให้ประเทศต่างๆ หันไปพึ่งพาตลาดอื่นมากขึ้นเพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ นักเศรษฐศาสตร์จาก Cornell University มองว่า “การกระทำที่รุนแรงของทรัมป์ทำให้โลกต้องปรับตัว” ขณะที่ เวนดี้ คัตเลอร์ รองประธาน Asia Society Policy มองว่า “แม้บางประเทศอาจพยายามเจรจากับทรัมป์ แต่ในระยะยาว พวกเขาอาจเลือกตอบโต้แทน”
มาตรการภาษีทรัมป์ 2.0 อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของระบบการค้าโลก หากสหรัฐฯ ดำเนินมาตรการนี้อย่างจริงจัง อาจนำไปสู่สงครามการค้ารอบใหม่ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงกลยุทธ์ต่อรองเพื่อบรรลุข้อตกลงใหม่ ก็ยังมีโอกาสที่สถานการณ์จะคลี่คลายได้ ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาในรูปแบบใด โลกของการค้าเสรีไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป