รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้กำหนดอัตราภาษีนำเข้าสูงขึ้นสำหรับสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ เม็กซิโกและแคนาดา 25% และจาก จีน 10% ซึ่งเป็นมาตรการที่อ้างว่ามีเป้าหมายเพื่อลดการไหลเวียนของยาเสพติดประเภทโอปิออยด์ เฟนทานิล และสารเคมีตั้งต้นที่เข้าสหรัฐฯ ผ่านเม็กซิโกและแคนาดา รวมถึงป้องกันปัญหาผู้อพยพผิดกฎหมาย
ข้อมูลล่าสุดจาก สำนักงานสำมะโนประชากรของสหรัฐฯ (U.S. Census Bureau) ณ พฤศจิกายน 2024 ระบุว่า แคนาดา เม็กซิโก และจีน เป็น คู่ค้านำเข้าหลักของ 42 จาก 50 รัฐ ของสหรัฐฯ โดยมีรายละเอียดดังนี้
แคนาดาเป็นคู่ค้านำเข้ารายใหญ่ที่สุดของ 23 รัฐ โดยเฉพาะรัฐทางตอนเหนือ เช่น มิชิแกน มินนิโซตา และนอร์ทดาโคตา ซึ่งพึ่งพาการนำเข้าสินค้าเกษตร เช่น ธัญพืช ปศุสัตว์ เนื้อสัตว์ และสัตว์ปีก
เม็กซิโกเป็นคู่ค้านำเข้าหลักของ 10 รัฐ โดยส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคใต้ เช่น เท็กซัส (40% ของการนำเข้ามาจากเม็กซิโก), แอริโซนา และนิวเม็กซิโก ประเทศนี้เป็นซัพพลายเออร์ ผลไม้และผัก รายใหญ่ของสหรัฐฯ
จีนเป็นพันธมิตรทางการค้านำเข้าหลักของ 9 รัฐ รวมถึงรัฐเศรษฐกิจสำคัญอย่าง แคลิฟอร์เนียและฟลอริดา โดย 25% ของการนำเข้าทั้งหมดของแคลิฟอร์เนียมาจากจีน คิดเป็นมูลค่า 113,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี
การกำหนดภาษีนำเข้าภายใต้รัฐบาลทรัมป์สร้างความกังวลในหลายภาคส่วน เนื่องจากสหรัฐฯ มีการค้าขายกับแคนาดาและเม็กซิโกรวมกัน ประมาณ 900,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ครอบคลุมสินค้าหลากหลายประเภท เช่น เครื่องจักร ยานพาหนะ น้ำมัน และผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม
แม้ว่าภาษีจะมีเป้าหมายเพื่อปกป้องเศรษฐกิจภายในประเทศและลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างชาติ แต่ในระยะยาว อาจส่งผลกระทบต่อ ต้นทุนสินค้าในสหรัฐฯ และทำให้ บริษัทอเมริกันต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้น
ด้วยโครงสร้างการค้าของสหรัฐฯ ที่พึ่งพาประเทศเพื่อนบ้านเป็นหลัก การดำเนินนโยบายภาษีนำเข้าแบบแข็งกร้าวอาจกระทบความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะหากแคนาดา เม็กซิโก และจีน ตัดสินใจตอบโต้ด้วยมาตรการภาษีของตนเอง