ในขณะที่ "โดนัลด์ ทรัมป์" ประกาศเตรียมขึ้นภาษีสินค้าจีนระลอกใหม่ จีนกำลังเร่งวางหมากเจรจากับสหรัฐฯ ก่อนที่สงครามการค้าระลอกใหม่จะบานปลาย ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าปักกิ่งกำลังใช้บทเรียนจากสงครามการค้าครั้งก่อนเพื่อรวบรวม "อำนาจต่อรอง" และป้องกันผลกระทบที่อาจกระทบเศรษฐกิจจีนซึ่งยังคงเปราะบาง
รอยเตอร์สรายงานว่า จีนเริ่มเคลื่อนไหวด้วยการเปิดการสอบสวนบริษัทชิปยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ อย่าง Nvidia ด้วยข้อกล่าวหาการละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด หลังจากที่ก่อนหน้านี้จีนเพิ่งประกาศห้ามการส่งออกแร่ธาตุสำคัญบางชนิดที่ใช้ในการผลิตสินค้าเทคโนโลยีสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่านี่คือการเดินหมากเปิดเกมเจรจา มากกว่าการปะทะกันทางเศรษฐกิจอย่างไม่มีทางลง
เศรษฐกิจจีนที่แม้จะเติบโตจนเป็นผู้นำในหลายอุตสาหกรรม เช่น พลังงานสีเขียวและยานยนต์ไฟฟ้า แต่ยังไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ทั้งหมด ความจำเป็นต้องนำเข้าวัสดุและเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ ยังทำให้จีนเสียเปรียบในกรณีที่เกิดการตอบโต้ทางเศรษฐกิจ
เฟรด นอยแมนน์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์เอเชียจาก HSBC กล่าวว่า แม้จีนจะเตรียมพร้อมรับมือ แต่การขึ้นภาษี 60% ครอบคลุมสินค้าจีนทั้งหมดจะยังเป็นภัยร้ายแรง นอกจากนี้ นักวิจัยจากศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดยังชี้ว่า การขาดแคลนเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ชิปและอุปกรณ์ไฮเทค ยังคงเป็นจุดอ่อนสำคัญ
ในขณะเดียวกัน จีนยังคงพึ่งพากำลังซื้อจากผู้บริโภคอเมริกัน โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจโลกซบเซาและความต้องการภายในประเทศลดลง การผลักดันให้สหรัฐฯ ต่ออายุข้อตกลงด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างสองประเทศ ซึ่งหมดอายุลงในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของจีน
นักวิเคราะห์มองว่าจีนพร้อมเสนอสิ่งจูงใจ เช่น การเพิ่มการซื้อพลังงานและก๊าซธรรมชาติจากสหรัฐฯ เพื่อลดแรงกดดัน แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีมาตรการตอบโต้ที่อาจสร้างความเสียหายให้กับบริษัทอเมริกันในจีน
ไมเคิล ฮาร์ต ประธานหอการค้าอเมริกันในจีน เปิดเผยว่า ความเชื่อมั่นของธุรกิจอเมริกันในจีนลดลงถึงระดับต่ำสุดในรอบ 24 ปี โดยหลายบริษัทกังวลเรื่องการเข้าถึงตลาดจีนและความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการห้ามส่งออก
นอกจากประเด็นเศรษฐกิจแล้ว ยังมีมิติทางการเมืองที่เพิ่มความซับซ้อน ทรัมป์เคยประกาศขึ้นภาษี 10% เพื่อกดดันจีนให้ยับยั้งการลักลอบนำเข้ายาเฟนทานิล ซึ่งส่งผลกระทบต่อวิกฤตยาเสพติดในสหรัฐฯ ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าการใช้เหตุผลทางการเมืองในการจำกัดการค้าจะยิ่งทำให้สถานการณ์ยากต่อการคลี่คลาย
ความตึงเครียดทางเศรษฐกิจยังสะท้อนถึงยุทธวิธีของทั้งสองประเทศ จีนมักใช้การคว่ำบาตรทางการค้าเพื่อตอบโต้ประเด็นสิทธิมนุษยชน ไต้หวัน และทะเลจีนใต้ ในขณะที่สหรัฐฯ ใช้มาตรการเชิงสัญลักษณ์ เช่น การระบุให้จีนเป็นผู้บิดเบือนค่าเงิน ซึ่งแม้จะไม่มีผลทางกฎหมาย แต่เป็นสัญญาณถึงความพร้อมที่จะเปิดฉากความขัดแย้ง
ในขณะที่นักเศรษฐศาสตร์จาก Natixis วิเคราะห์ว่า จีนยังคงต้องพึ่งพาชิปจากสหรัฐฯ และการพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศยังไม่สามารถตอบโจทย์ตลาดได้ การเร่งเจรจาเพื่อรักษาการส่งออกและนำเข้าชิปยังคงเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลัก
ทั้งนี้ การเจรจาระหว่างจีนและสหรัฐฯ จะกลายเป็นจุดสำคัญที่กำหนดอนาคตของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจโลก นักวิเคราะห์เตือนว่าหากทั้งสองฝ่ายยังคงใช้ความตึงเครียดเป็นเครื่องมือในการต่อรอง สงครามการค้าครั้งใหม่นี้อาจสร้างผลกระทบที่ยืดเยื้อกว่าครั้งก่อน