วันที่ 11 ธันวาคม 2567 ตำรวจเกาหลีใต้ได้บุกค้นสำนักงานของประธานาธิบดี “ยุน ซอกยอล” ตามคำยืนยันของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำทำเนียบประธานาธิบดี เหตุการณ์นี้เป็นการขยายการสอบสวนเกี่ยวกับความพยายามประกาศกฎอัยการศึกที่สร้างความวุ่นวายในประเทศและนำไปสู่วิกฤตรัฐธรรมนูญครั้งใหญ่
การบุกค้นดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม คิม ยงฮยอน ซึ่งเป็นผู้ใกล้ชิดของยุน ซอกยอลถูกพบว่าพยายามฆ่าตัวตายในศูนย์กักกันเมื่อวันก่อน แต่เจ้าหน้าที่สามารถช่วยชีวิตไว้ได้ทันและถูกควบคุมตัวในข้อหากบฏโดยอยู่ภายใต้การจับตามองอย่างใกล้ชิด
เหตุการณ์นี้ถือเป็นความเคลื่อนไหวที่ร้อนแรงในสถานการณ์การเมืองของเกาหลีใต้ โดยเฉพาะหลังจากที่มีการประกาศกฎอัยการศึกอย่างกะทันหันในช่วงค่ำของวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งสร้างความตื่นตระหนกและนำไปสู่การต่อต้านอย่างกว้างขวางจากทั้งฝ่ายค้านและสมาชิกบางส่วนในพรรคของยุน ซอกยอลเอง
แม้ยุน ซอกยอลจะไม่ได้อยู่ในทำเนียบประธานาธิบดีระหว่างการบุกค้น แต่ก็ต้องเผชิญข้อกล่าวหาร้ายแรงเกี่ยวกับการพยายามใช้อำนาจในทางที่ผิด ซึ่งขณะนี้ถูกสอบสวนในข้อหากบฏและถูกสั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศ อย่างไรก็ตาม ยุน ซอกยอลยังไม่ได้ถูกควบคุมตัวหรือสอบสวนโดยเจ้าหน้าที่โดยตรง
ผู้นำฝ่ายค้าน อี แจมยอง ได้กล่าวว่า กระบวนการถอดถอนยุน ซอกยอลจะดำเนินต่อไป โดยรัฐสภาที่มีเสียงข้างมากจากพรรคฝ่ายค้านเตรียมผลักดันการลงมติถอดถอนอีกครั้งในวันเสาร์ที่จะถึงนี้ หลังความพยายามครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 ธันวาคมล้มเหลว เนื่องจากสมาชิกพรรครัฐบาลส่วนใหญ่ไม่เข้าร่วมการประชุม
อีกด้านหนึ่ง นายกรัฐมนตรี ฮัน ดักซู ได้รับมอบหมายให้จัดการภารกิจของ รัฐบาลชั่วคราว ขณะที่พรรคพลังประชาชน (PPP) พยายามหาทางออกอย่างสงบสำหรับการลาออกของยุน ซอกยอล อย่างไรก็ตาม ฝ่ายค้านและนักวิชาการบางส่วนตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความชอบธรรมของการบริหารงานในช่วงสุญญากาศนี้
ในขณะที่รัฐสภาเกาหลีใต้มีกำหนดประชุมอีกครั้งในวันนี้ (11 ธ.ค.67) เพื่อนำเสนอร่างกฎหมายถอดถอนยุน ซอกยอล ความตึงเครียดยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อกลุ่มแรงงานในอุตสาหกรรมโลหะ รวมถึงคนงานจากบริษัท Kia และสถาบันการเงิน เช่น ธนาคารกลางเกาหลีใต้ ได้ประกาศหยุดงานประท้วง
การพยายามรัฐประหารที่ล้มเหลวนี้ไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของยุน ซอกยอลเอง แต่ยังทำให้ประชาชนทั่วประเทศตั้งคำถามถึงความเป็นผู้นำและอนาคตของประเทศ ท่ามกลางความกังวลว่าความไม่มั่นคงนี้อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสถานะระหว่างประเทศ