"โมดี" คว้าชัยชนะเลือกตั้งอินเดีย ได้ครองเก้าอี้นายกรัฐมนตรีสมัยที่สาม

05 มิ.ย. 2567 | 07:10 น.
อัปเดตล่าสุด :05 มิ.ย. 2567 | 07:45 น.
636

นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย จากพรรค BJP  ประกาศชัยชนะในการเลือกตั้ง แม้ทางพรรคไม่สามารถครองเสียงข้างมากในสภา แต่เขาก็ได้ครองตำแหน่งนายกฯ สมัยที่สาม ถือเป็นสถิติการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ยาวนานที่สุด เทียบเท่าสถิติที่ยาวาฮาร์ลาล เนห์รู นายกฯคนแรกเคยทำไว้

ภายหลังการนับคะแนนเลือกตั้งอินเดียวานนี้ (4 มิ.ย.) นายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรี จากพรรคภารติยะชนตะ หรือ BJP ก็ได้ประกาศ ชัยชนะในการเลือกตั้ง แม้จะมีแนวโน้มว่าพรรค BJP ของเขาไม่ได้ชนะแบบถล่มทลาย และไม่สามารถครองเสียงข้างมากใน “โลกสภา” หรือ สภาผู้แทนราษฎรของอินเดีย

"ชัยชนะในวันนี้ถือเป็นชัยชนะของประชาธิปไตยที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก" นายโมดีกล่าวในถ้อยแถลงแรกของการประกาศชัยชนะ ณ ที่ทำการพรรค BJP ในกรุงนิวเดลี

ทั้งนี้ ผลการนับคะแนนล่าสุด บ่งชี้ว่า พรรค BJP จะได้ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรเพียง 239 ที่นั่ง ลดลงจาก 303 ที่นั่งในปี 2562 และนั่นหมายความว่า ทางพรรคได้จำนวนสส.ไม่ถึง 272 ที่นั่งสำหรับการครองเสียงข้างมากในสภา อย่างไรก็ตาม พันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติ (NDA) ซึ่งประกอบด้วยพรรค BJP และบรรดาพรรคแนวร่วม มีแนวโน้มที่จะได้ที่นั่งรวมกัน 294 ที่นั่ง ซึ่งเกินเสียงข้างมากในสภาเพียงเล็กน้อย และต่ำกว่า 353 ที่นั่งซึ่ง NDA เคยได้รับในการเลือกตั้งปี 2562

ก่อนหน้านี้ นายโมดีเคยประกาศในเดือนมี.ค.ว่า เขามีความมั่นใจว่า NDA จะคว้าชัยชนะอย่างถล่มทลายด้วยจำนวนที่นั่งมากกว่า 400 ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร แต่ความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น

นายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย วัย 73 ปี นำพรรค BJP ชนะเลือกตั้ง ได้ครองตำแหน่งเป็นสมัยที่สาม

ทางด้านคู่แข่งเป็นพรรคฝ่ายค้านจำนวนกว่า 28 พรรค เรียกว่าพันธมิตรกลุ่ม INDIA นำโดยพรรคคองเกรสแห่งชาติอินเดีย แกนนำพรรคคือนายมัลลิการ์ จุนคาร์เก รวมทั้งนายราหุล และนางปริยังกา คานธี 2 พี่น้องทายาทของนายราจีฟ คานธี อดีตนายกรัฐมนตรี และนางโซเนีย คานธี ทางกลุ่มทำผลงานได้เกินความคาดหมาย ได้มา 228 ที่นั่ง มากกว่าผลเอ็กซิตโพลทุกสำนักที่คาดหมายว่ากลุ่ม INDIA จะได้แค่ราวๆ 136 ที่นั่ง

อินเดียเป็นประเทศประชาธิปไตยที่มีประชากรมากที่สุดในโลก การเลือกตั้งทั่วไปครั้งล่าสุดนี้ ที่กินเวลายาวนานราว 6 สัปดาห์ แบ่งเป็น 7 ระยะ โดยเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 19 เมษายน และจบลงวันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา ท่ามกลางสภาพอากาศในช่วงฤดูร้อนที่มีอุณหภูมิสูงเป็นประวัติการณ์

สถิติชี้ว่า มีประชาชนออกมาใช้สิทธิออกเสียง 642 ล้านคนหรือ 66% จากผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 969 ล้านคน น้อยกว่าการเลือกตั้งครั้งก่อนในปี 2562 เพียง 1% ขณะที่โมดีในวัย 73 ปี สามารถทำสถิติเทียบเท่านายยาวาฮาร์ลาล เนห์รู นายกรัฐมนตรีคนแรกและรัฐบุรุษของอินเดีย ที่คว้าชัยชนะการเลือกตั้งได้ 3 สมัยติดต่อกัน สำหรับตัวนายโมดีนั้น เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยแรกในปี 2557

ปฏิญญาโมดีการันตี (Modi’s Guarantee)

อินเดียภายใต้การบริหารของนายโมดีตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมานั้น มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง โดยข้อมูลล่าสุดบ่งชี้ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในปีงบประมาณ 2567 ซึ่งสิ้นสุด ณ เดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ขยายตัว 8.2% ซึ่งแข็งแกร่งกว่าที่รัฐบาลประมาณการไว้เบื้องต้นที่ระดับ 7.6% และช่วยให้อินเดียยังคงรักษาสถานะการเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขยายตัวรวดเร็วที่สุดในโลก

อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจบ่งชี้ว่าอัตราการว่างงาน อัตราเงินเฟ้อ และความทุกข์ยากของผู้คนในชนบท ยังคงเป็นข้อกังวลสำคัญในอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก แม้ว่าเศรษฐกิจจะแข็งแกร่ง ดังนั้น การแก้ไขปัญหาเหล่านี้จะเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนายโมดี

“เราให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างทั้งศักดิ์ศรีและคุณภาพชีวิต นอกจากนี้ ยังรวมถึงการส่งเสริมการสร้างงานผ่านการลงทุน” นายโมดีระบุ หลังจากเผยแพร่ปฏิญญาในชื่อ โมดีการันตี (Modi’s Guarantee) ในช่วงหาเสียงเลือกตั้งเมื่อเดือนเมษายน

นายโมดีระบุในปฏิญญาดังกล่าว ซึ่งเป็นเสมือนคำมั่นสัญญาที่เขาให้ไว้ต่อผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งทั่วประเทศว่า ต้องการมุ่งสร้างงานในภาคส่วนต่างๆ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน การบิน รถไฟ ยานพาหนะไฟฟ้า พลังงานสีเขียว เซมิคอนดักเตอร์ และเภสัชกรรม และอื่นๆ เพื่อแก้ปัญหาอัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้น แม้เศรษฐกิจอินเดียยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งก็ตาม

นอกจากนี้ รัฐบาลของเขายังยืนยันการเดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งรวมถึงการก่อสร้างเส้นรถไฟความเร็วสูง สานต่อนโยบายประชานิยม ที่ครอบคลุมการทุ่มงบประมาณอุดหนุนหลายโครงการ การเพิ่มความสนับสนุนให้กับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ยังขาดโอกาส การช่วยเหลือเกษตรกร การเดินหน้าต่อสู้กับการคอร์รัปชัน การลดค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้มีอายุเกินกว่า 70 ปี ตลอดจนโครงการมอบเงินสนับสนุน 2 ล้านรูปี ช่วยเหลือการดำเนินงานของธุรกิจขนาดเล็ก และการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในปี 2579