เทคกูรู มองนโยบายทรัมป์ 2.0 ตัวเร่ง AI จีน บุกยึดหัวหาดไทย 

30 ม.ค. 2568 | 06:28 น.

 สงครามเทคโนโลยีจีน-สหรัฐฯ โดยเฉพาะ AI กลับมาอีกรอบ โดยนโยบายของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ชัดเจน ต้องการเป็นผู้นำด้าน AI ของโลก

ล่าสุดเมื่อวันที่ 20 ม.ค.68 ทันทีนายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่ง ประธานาธิบดีสหรัฐ สมัยที่ 2 ก็ได้ลงนามเพิกถอนคำสั่งการบริหารงานของไบเดน ที่ลงนามไว้เมื่อ 2567 อันเป็นข้อจำกัดในการพัฒนา AI

นอกจากนี้ทรัมป์ ยังเชิญผู้นำ 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ ประกอบด้วย นายมาซาโยชิ ซัน ผู้ก่อตั้งซอฟต์แบงก์กรุ๊ป คอร์ป นายแซม อัลท์แมน ซีอีโอ OpenAI และนายแลร์รี เอลลิสัน ซีอีโอ ออราเคิล คอร์ป มาประชุมที่ทำเนียบขาว เพื่อจัดตั้งบริษัทสตาร์เกต ที่จะลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ มูลค่า 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ราว 17 ล้านล้านบาท

เทคกูรู มองนโยบายทรัมป์ 2.0 ตัวเร่ง AI จีน บุกยึดหัวหาดไทย 

โดยเบื้องต้น 3 บริษัทจะลงทุนก่อน 1 แสนล้านดอลลาร์ หรือ 3.7 ล้านล้านบาท จะขยายให้ถึง 5 แสนล้านดอลลาร์ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า จะสร้างงานด้าน AI ในสหรัฐฯสูงถึง 1 แสนตำแหน่ง

“ฐานเศรษฐกิจ” ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ ดร.กอบกฤตย์ วิริยะยุทธกร ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอแอพพ์เทคโนโลยี จำกัด (iAPP) หนึ่งในกูรูด้าน AI ของไทย ถึงปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น ภายใต้นโยบายทรัมป์ 2.0 รวมไปถึงโอกาส และการปรับตัวของไทยภายใต้การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว

เทคกูรู มองนโยบายทรัมป์ 2.0 ตัวเร่ง AI จีน บุกยึดหัวหาดไทย 

ดร.กอบกฤตย์ กล่าวว่ายุคทรัมป์ 2.0 จะเป็นตัวเร่งสำคัญที่ทำให้นักพัฒนาจีน โดยเฉพาะในสาย AI หันมามองไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบด้วย 

1. เกิดการเปลี่ยนเส้นทางการค้าและเทคโนโลยีของจีนภายใต้นโยบายกดดันของสหรัฐฯ จีนต้องปรับกลยุทธ์ใหม่ โดยมุ่งสร้างพันธมิตรในตลาดที่เปิดกว้างกว่า ไทยในฐานะศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลของภูมิภาค และมีความสัมพันธ์ที่ดีทางการค้ากับจีน จึงเป็นเป้าหมายที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนในเทคโนโลยี AI หรือการตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา หรือ R&D

2. ความต้องการโซลูชัน AI ในตลาดไทย โดยประเทศไทยกำลังผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น เกษตร อุตสาหกรรมการผลิต และการแพทย์ ซึ่งเป็นจุดที่ AI สามารถเข้ามาแก้ปัญหาและเพิ่มประสิทธิภาพได้ทันที จีนซึ่งมีความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural language processing: NLP)และ Computer Vision จึงอาจมองไทยเป็นโอกาสในการขยายตลาดและทดลองนวัตกรรมใหม่

3. ข้อจำกัดในการเข้าถึงตลาดตะวันตก หากสหรัฐฯ ยังคงใช้นโยบายกีดกัน บริษัทเทคโนโลยีจีนจำเป็นต้องมองหาตลาดที่มีศักยภาพและข้อจำกัดน้อยกว่า ซึ่งไทยเป็นตัวเลือกที่ชัดเจน เนื่องจากมีนโยบายสนับสนุนการลงทุนด้านเทคโนโลยี และกำลังเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เช่น 5G และ Data Center

4. บทบาทของไทยในระบบนิเวศ AI สำหรับไทยเอง การดึงดูดนักพัฒนาจีนและบริษัทเทคโนโลยีจีน ไม่ได้เป็นเพียงโอกาสในการรับการลงทุน แต่ยังเป็นการเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากรไทยผ่านการถ่ายทอดความรู้ การร่วมวิจัย และการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ร่วมกัน

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ไทยต้องทำเพื่อดึงดูดการเคลื่อนตัวนี้ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม คือ 

 1. นโยบายส่งเสริม AI อย่างจริงจัง เช่น ตั้งหน่วยงานที่ดูแลด้าน AI ของไทยอย่างจริงจัง, การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี, การตั้งกองทุนสนับสนุนการพัฒนา AI

 2. การสร้างบุคลากร AI ที่มีคุณภาพ ซึ่งตอนนี้ไทยขาดบุคลากรด้าน Digital และ AI อย่างมาก (มีผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital น้อยกว่า 1% ของประชากร ในขณะที่สิงคโปร์มี 8% และเพื่อนบ้านในอาเซียนมี 3% เป็นอย่่งต่ำ) เพื่อรองรับการลงทุนและการพัฒนาร่วมกัน

3. การกำหนดบทบาทของไทยในภูมิภาค ไทยต้องสร้างความแตกต่างจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น อินโดนีเซียหรือเวียดนาม ด้วยความได้เปรียบในด้านโครงสร้างพื้นฐานและนโยบายที่ยืดหยุ่น

ดังนั้น หากเราสามารถวางตำแหน่งของไทยให้เป็นพันธมิตรที่น่าเชื่อถือในสายตานักพัฒนาจีน มองว่าโอกาสที่ไทยจะเป็นจุดหมายสำคัญในยุคนี้มีสูงมาก แต่เราต้องทำให้เร็วและชัดเจน เพราะการแข่งขันในภูมิภาคนี้จะดุเดือดมากขึ้นแน่นอน