โดยเฉพาะเมื่อจีนส่ง DeepSeek เข้าสู่สนามรบ AI ท้าชนยักษ์ใหญ่อย่าง OpenAI ของสหรัฐ สร้างแรงสั่นสะเทือนจนทำให้หุ้น Nvidia ดิ่งลง 17% สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของจีนที่กำลังก้าวกระโดดในวงการ AI อย่างน่าจับตามอง
สหรัฐภายใต้นโยบายของทรัมป์ไม่รอช้าที่จะตอบโต้การท้าทายจากจีน ด้วยการประกาศจัดตั้งบริษัท Stargate รวมพลังยักษ์ใหญ่ในวงการเทคโนโลยีอย่าง SoftBank Group, OpenAI และ Oracle เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ ด้วยเม็ดเงินมหาศาลถึง 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 17 ล้านล้านบาท
การลงทุนครั้งนี้ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของสหรัฐในการรักษาความเป็นผู้นำด้าน AI เท่านั้น แต่ยังมีเป้าหมายในการสร้างงานด้าน AI กว่า 100,000 ตำแหน่ง ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรม AI ของสหรัฐในระยะยาว การรวมตัวของบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้ยังช่วยสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการพัฒนานวัตกรรมด้าน AI และดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถจากทั่วโลก
ในขณะที่สหรัฐใช้กลยุทธ์การทุ่มทุนมหาศาลและรวมพลังบริษัทยักษ์ใหญ่ จีนกลับเลือกใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง โดยเน้นการแข่งขันด้านราคาและการเปิดกว้างทางเทคโนโลยี DeepSeek-R1 ของจีนคิดค่าบริการเพียง 19 บาทต่อล้านโทเคน เทียบกับ OpenAI ที่คิดค่าบริการสูงถึง 505 บาทต่อล้านโทเคน หรือแพงกว่าถึง 26.5 เท่า
นอกจากการตีตลาดด้วยราคาที่ถูกกว่ามากแล้ว DeepSeek ยังเลือกที่จะเป็น Open Source ให้ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดไปใช้ได้ฟรี เพียงแค่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้าเท่านั้น กลยุทธ์นี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ DeepSeek เข้าถึงผู้ใช้งานได้ในวงกว้างขึ้น แต่ยังตอบโจทย์ด้านอธิปไตยทาง AI (Sovereign AI) ที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องส่งข้อมูลผ่านเซิร์ฟเวอร์ของผู้ให้บริการ ต่างจาก OpenAI ที่ใช้โมเดลปิดและต้องส่งข้อมูลผ่านเซิร์ฟเวอร์ของตน
DeepSeek จุดเปลี่ยน AI โลก
ดร.กอบกฤตย์ วิริยะยุทธกร ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอแอพพ์เทคโนโลยี จำกัด (iAPP) หนึ่งในกูรูด้าน AI ของไทย กล่าวว่าสงครามช่วงชิงผู้นำ AI ของจีน และสหรัฐ ยังอยู่ช่วงเริ่มต้นเท่านั้น DeepSeek เป็น AI ที่บอกให้ทั่วโลกได้รู้ความก้าวหน้าในการพัฒนา AI ของจีน หลังจากนี้จะมี AI จากจีนที่ใช้แนวทางการพัฒนาแบบ DeepSeek ออกมาจากจำนวนมาก แม้แต่ Hugging Face ซึ่งเป็นAI ของสหรัฐ เริ่มประกาศพัฒนา Open R1 ที่ต่อยอดมาจาก DeepSeek ที่ใช้ข้อมูล และการประมวลผลน้อยลง ต้นทุนต่ำลงออกมา
“การแซงชันชิปของสหรัฐ เป็นนักพัฒนาจีนมองหาแนวทางการสร้างโมเดล AI ที่ใช้ข้อมูล และการคอมพิวติ้งลดลง ต้นทุนลดลง ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยน หรือนวัตกรรมใหม่ของโลก ซึ่งเชื่อว่าหลังจากนี้จะมี AI ที่ใช้โมเดล DeepSeek ออกมาสู่ตลาดจำนวนมาก และผู้ใช้มีทางเลือกมากขึ้น ไม่ต้องง้อ AI ของสหรัฐ ซึ่งที่ผ่านมาตั้งราคาเท่าไรก็ได้ โดยหลังจาการเกิดของ DeepSeek จะเห็น AI จากสหรัฐ ลดค่าบริการลงมา”
ดร.กอบกฤตย์ กล่าวต่อไปว่าล่าสุดเขาได้นำ DeepSeek R1 มาเป็นสารตั้งต้นในการพัฒนาต่อยอดภาษาไทย เนื่องจาก DeepSeek R1 ยังมีข้อผิดพลาดเรื่องภาษาไทย บางครั้งถามเป็นภาษาไทย แต่ตอบกลับมาเป็นภาษาจีน โดยคาดว่าจะมีโมเดลที่รองรับการใช้งานภาษาไทยออกมาในเร็วๆนี้
ด้าน ดร.สันติธาร เสถียรไทย นักยุทธศาสตร์แห่งอนาคต อดีตผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยีและภาคการเงินระดับโลก และนักคิดนักเขียน กล่าวถึงการผงาดขึ้นมาของ DeepSeek เอไอของจีนที่เป็นกำลังเป็นประเด็นร้อนแรงไว้อย่างน่าสนใจ
โดยระบุว่า ปรากฏการณ์นี้ไม่เพียงทำให้ตลาดหุ้นปั่นป่วนทั่วโลก แต่ยังมาจังหวะที่สหรัฐฯเปลี่ยนรัฐบาลพอดี เสมือนเป็นการ‘สะบัดหาง’ครั้งสำคัญของปีงูเล็กเลยกว่าว่าได้และอาจมีผลกระทบในวงกว้างอีกด้วย เขามองว่าปรากฏการณ์นี้น่าจะเปิดอย่างน้อย 5 ประเด็นสำคัญที่สามารถเปลี่ยนโลกได้
เทคโนโลยี AI สหรัฐยังเป็นผู้นำโลกจริงไหม
การมาของ DeepSeek ถูกตั้งคำถามว่าเทคโนโลยีเอไอของอเมริกายังนำโลกอยู่จริงหรือไม่ หรือจีนสามารถวิ่งไล่ตามได้แล้ว แม้จะไม่ได้เข้าถึงชิปคุณภาพสูงสุดที่โดนกีดกันจากสหรัฐฯและพันธมิตร
เขาตั้งคำถามว่า หากเป็นจริง ตามตัวเลขการทดสอบความสามารถ AI ต่างๆที่ออกมา ต่อไปสหรัฐฯจะตอบโต้อย่างไร รวมทั้งจะเพิ่มความเข้มข้นของสงครามการค้า-เทคโนโลยีเพื่อให้จีนเข้าถึงเทคโนโลยีต่างๆเหล่านี้ได้ยากขึ้นไปอีกหรือไม่ หรือจะทุ่มทุนยิ่งกว่าเดิมสร้างกับโครงการ AI ขนาดยักษ์อย่าง Stargate ที่มูลค่าที่ประกาศเกือบเท่าเศรษฐกิจไทยทั้งประเทศ
ความสิ้นเปลืองทรัพยากร
การที่ Deepseek ใช้เงินในการพัฒนาเอไอน้อยกว่า บริษัทเทคโนโลยีที่มีชื่อเสียงของสหรัฐ และ ใช้ชิปที่ไม่ได้ทรงพลังเท่า ทำให้เกิดคำถามสำคัญในหมู่นักลงทุนและบริษัทเทคฯถึงความคุ้มค่าในการลงทุนหลายพันล้านเพื่อให้ได้ชิปที่ทรงพลังที่สุด
สรุปจ่ายไปเพื่อซื้อเนื้อหรือไขมันกันแน่หรือว่าเงินอาจจะไม่ใช้มากขนาดนั้นชิปอาจจะไม่ต้องทรงพลังขนาดนั้นพลังงานก็อาจจะไม่ต้องใช้หนักขนาดนั้น นี่จึงอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้หุ้นวงการเทคฯและอุตสาหกรรมเกี่ยวข้องตื่นตระหนกตกใจพานิคร่วงกันเป็นแถวเมื่อวานนี้
โมเดลแบบเปิด vs ปิด
คนส่วนใหญ่อาจมองสงคราม AI เป็นระหว่างสหรัฐฯกับจีน แต่สำหรับคนในวงการเทคโนโลยีที่คุกรุ่นมานานคือระหว่าง โมเดลแบบเปิด (Open source) ที่เสมือนเปิด สูตรลับให้คนอื่นสามารถเอาไปศึกษา ใช้พัฒนาต่อยอดได้กับโมเดลแบบปิดที่ไม่ได้เปิดข้อมูลเหล่านี้ เช่น ChatGPT
Deepseek คือเป็นแบบเปิด จึงทำให้เกิดคำถามว่าโมเดลแบบเปิดนี้มันเจ๋งจนไล่กวดโมเดลแบบปิดที่ซ่อนสูตรลับของตัวเองแล้วหรือ นึกภาพหากร้านอาหารอร่อยมากๆเปิดสูตรให้คนเอาไปทำที่บ้านแล้วทำออกมามันอร่อยไม่แพ้ร้านแพงๆที่เก็บสูตรเป็นความลับ ต่อไปใครจะอยากไปจ่ายแพงเพื่อกินที่ร้าน
ดร.สันติธาร ยังระบุว่า ยังมีคำถามต่อไปอีกว่า Deepseek จะยังเปิดสูตรต่อไปหรือไม่ หรือจะปิด และเก็บค่าใช้ที่ราคาสูงหรือจะมีการเอาข้อมูลของ User ไปใช้อย่างไรเนื่องจากบางคนก็ห่วงเรื่อง Data Governance
ผู้นำ-ผู้ตาม Deepseek
ใช้เวลาแค่ 2 เดือนกว่าเท่านั้นในการพัฒนา AI ที่มีความสามารถใกล้เคียงกับโมเดลรุ่นใหม่ ของ OpenAI โดยใช้โมเดลของ OpenAI ช่วยสอนโมเดลของตนเองด้วย เสมือน OpenAI เป็นจอมยุทธ์ที่ฝึกกว่าจะบรรลุเคล็ดวิชาใหม่
แต่พอนักเรียนมาเลียนหรือเรียนต่อแป๊บเดียวสามารถได้วิชาระดับเดียวกันมาได้ (ภาษานักลงทุนคือ Moat หรือคูเมืองป้องกันปราสาทเรา มันไม่ได้ข้ามยากเท่าที่คิด) จึงทำให้เกิดคำถามว่าวงการเอไอนี่ผู้นำได้เปรียบมากจริงไหม หากผู้ตามสามารถตามได้เร็วขนาดนี้และยังทำได้ในต้นทุนที่ต่ำกว่ามาก แบบนี้มันยังคุ้มที่จะลงทุนพัฒนาเพื่อเป็นผู้นำ บรรลุเคล็ดวิชาใหม่ๆ‘ไหม เพราะผู้นำด้านเอไออาจถูกดิสรัปง่ายกว่าที่คิด
อนาคตของเอไอ
ในมุมผู้พัฒนาและลงทุนกับ AI คำถามเหล่านี้อาจทำให้ขนหัวลุก แต่ในมุมของผู้ใช้ พัฒนาการนี้ก็อาจมองในมุมบวกได้เช่นกัน ต้นทุนพัฒนาเอไอถูกลงทำให้ค่าบริการถูกลง คนเข้าถึงได้มากขึ้น เอไออาจสามารถใช้ทรัพยากรและพลังงานน้อยลง เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมขึ้น โมเดลแบบเปิดอาจทำให้คนเก่งทั่วโลก สามารถศึกษาและเอาไปพัฒนาต่อยอดได้ สร้างเอไอที่ตอบโจทย์และเหมาะกับบริบทของสังคมตนเอง
การพัฒนา AI อาจมีการแข่งขันมากขึ้น Generative AI กลายเป็นเทคโนโลยีโหลๆขึ้น ผลักดันให้หลายเจ้าอาจต้องหามุมการพัฒนาผลิตภัณฑ์แนวอื่นมากขึ้น คิดเรื่องแอพพลิเคชันมากขึ้น ไม่ใช่ทุ่มเงินสร้างมันสมองที่ฉลาดอย่างเดียว จึงอาจทำให้เกิดนวัตกรรมที่หลากหลายขึ้น
เขาให้ความเห็นอีกว่า ในทางกลับกันการที่แต่ละประเทศต่างแข่งกันสร้างสุดยอดเอไออาจทำให้ต่างลดความสำคัญด้านการกำกับดูแลความเสี่ยง ทำให้ยิ่งมีโอกาสเกิดเอไอแบบอันตรายต่อสังคมขึ้นหรือไม่
แน่นอนว่าเรายังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับ Deepseek อีกมากและก็เป็นไปได้ว่าต่อไปอาจมีการหักมุมจากผู้เล่นอื่นอีกที่ไม่ใช่ DeepSeek เลยก็เป็นได้ แต่อย่างน้อยก็คิดว่า 5 ประเด็นนี้คือคำถามที่เราควรตั้งและช่วยกันติดตามอย่างใกล้ชิดกับเทคโนโลยีที่มีโอกาสเปลี่ยนโลกและกระทบเราทุกคนในอนาคต
ขณะที่ นายสมคิด จิรานันตรัตน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ผู้ค้นคิดและพัฒนาแอป”เป๋าตัง” กล่าวว่า Deepseek เป็น AI จีน ที่ทำให้ AI ของอเมริกา ต้องเจอกับ sputnik moment อีกครั้ง จน ประธานาธิบดี Trump ต้องบอกว่านี่เป็น wake up call ของ วงการ AI อเมริกา
DeepSeek ผลิต AI ได้โดดเด่น เป็นเพราะว่า 1. จีนถูกบีบรัดด้วยข้อจำกัดด้าน resources อย่างรุนแรง จึงจำเป็นต้องหาวิธีการใหม่ที่แตกต่างจากเดิม , 2. DeepSeek เน้นรับเด็กจบใหม่เก่งๆที่หลากหลาย จากมหาวิทยาลัยชั้นนำของจีน ไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์มาก แต่เต็มไปด้วยศักยภาพ หากมีประสบการณ์ ต้องเก่งจริงและตรงตามที่ต้องการมากๆ และจ่ายงามเน้นคุณภาพ ไม่เน้นปริมาณ , 3. DeepSeek ไม่เน้นผลกำไร แต่เน้นเรื่องการวิจัยและพัฒนา เพื่อสร้างอนาคต , 4. DeepSeek เพิ่งก่อตั้งเดือนพฤษภาคม 2023 เป็นบริษัทขนาดเล็ก ที่เต็มไปด้วยศักยภาพ และปรับเปลี่ยนเคลื่อนตัว พร้อมปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และ 5 DeepSeek สร้าง model เป็นระบบเปิด ที่ทำให้การพัฒนามีความหลากหลายและรวดเร็วมากขึ้น
“สรุปคือ มีคนเก่ง ไม่กลัวข้อจำกัด โฟกัส และเต็มไปด้วยความหลากหลายที่ทำให้เกิด innovation”