รู้จัก DeepSeek AI จีน ผู้เขย่าวงการเทคโนโลยีโลก

28 ม.ค. 2568 | 07:22 น.
อัปเดตล่าสุด :28 ม.ค. 2568 | 08:03 น.
1.5 k

'DeepSeek' ที่ทำให้ Silicon Valley ต้องตกใจ ด้วยต้นทุนเพียง 5.6 ล้านดอลลาร์ เป็นใคร ทำไมถึงสร้างแรงสั่นสะเทือนจนหุ้น Nvidia ร่วง 17% ในวันเดียว?

DeepSeek สตาร์ทอัพปัญญาประดิษฐ์จากจีน สร้างความตื่นตะหนกในวงการเทคโนโลยี หลังขึ้นแท่นแอพพลิเคชันฟรียอดนิยมอันดับ 1 บน App Store ในสหรัฐอเมริกา แซงหน้า ChatGPT

 

อย่างไรก็ตาม ในวันเดียวกัน บริษัทต้องประกาศจำกัดการลงทะเบียนผู้ใช้ใหม่ชั่วคราวเนื่องจากระบุว่าเผชิญ "การโจมตีที่เป็นอันตราย" โดยผู้ใช้งานปัจจุบันยังคงสามารถเข้าใช้งานได้ตามปกติ

 

ความสำเร็จของ DeepSeek ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อตลาดหุ้นเทคโนโลยี โดยหุ้น Nvidia ร่วงลงถึง 17% ASML ลดลง 6% และ Nasdaq ดิ่งลงกว่า 3% ขณะที่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Meta, Microsoft, Apple และ ASML เตรียมประกาศผลประกอบการในสัปดาห์นี้

 

นักวิเคราะห์จาก Bernstein รายงานว่า ผลกระทบของปรากฏการณ์นี้อาจมีตั้งแต่ "น่าสนใจ" ไปจนถึง "จุดจบของโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่เรารู้จัก" ด้านนักวิเคราะห์จาก Raymond James ตั้งคำถามสำคัญเกี่ยวกับผลกระทบต่อการลงทุน การเปรียบเทียบระหว่างโมเดลแบบเปิดกับแบบปิด และประสิทธิภาพของมาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ

DeepSeek คือใคร?

DeepSeek ก่อตั้งในปี 2023 โดย เลียง เหวินเฟิง ผู้ร่วมก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ High-Flyer บริษัทเติบโตมาจากหน่วยวิจัย AI ของกองทุนดังกล่าว ที่น่าสนใจคือ High-Flyer มีสำนักงานอยู่ในอาคารเดียวกับ DeepSeek และเป็นเจ้าของสิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องกับคลัสเตอร์ชิปสำหรับการฝึกโมเดล AI โดยในกรกฎาคม 2022 หน่วย AI ของ High-Flyer เคยระบุว่ามีคลัสเตอร์ชิป A100 จำนวน 10,000 ชิ้น

 

DeepSeek เป็นสตาร์ทอัพด้านปัญญาประดิษฐ์ที่ก่อตั้งขึ้นในประเทศจีน โดยมีเป้าหมายหลักในการพัฒนาและนำเสนอโซลูชัน AI ที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูง ทีมงานของ DeepSeek ประกอบด้วยนักวิจัยและวิศวกรชั้นนำที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning), การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing - NLP), และเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ AI

นวัตกรรมที่สร้างความสั่นสะเทือน

DeepSeek ได้สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับวงการเทคโนโลยีด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์และบริการ AI ที่มีความสามารถหลากหลาย ตั้งแต่ระบบวิเคราะห์ข้อมูลอัจฉริยะไปจนถึงแพลตฟอร์มการประมวลผลภาษาธรรมชาติที่สามารถเข้าใจและตอบสนองต่อภาษามนุษย์ได้อย่างแม่นยำ

 

หนึ่งในความสำเร็จที่โดดเด่นของ DeepSeek คือการพัฒนาโมเดล AI ที่สามารถเรียนรู้และปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ทำให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้อย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นด้านการเงิน การแพทย์ การผลิต และการบริการลูกค้า

ตามข้อมูลที่บริษัทเผยแพร่ผ่านบัญชี WeChat ทางการ DeepSeek-R1 มีค่าใช้จ่ายในการใช้งานถูกกว่า OpenAI 20-50 เท่า ขึ้นอยู่กับประเภทงาน

 

นักวิเคราะห์จาก Jefferies ประเมินว่าบริษัทใช้งบประมาณประมาณ 5.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐในการเช่าใช้ชิป Nvidia H800

 

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จาก Bernstein ระบุว่าต้นทุนที่แท้จริงในการพัฒนาโมเดล V3 น่าจะสูงกว่าตัวเลขที่เปิดเผยมาก และบริษัทยังไม่ได้เปิดเผยต้นทุนการพัฒนาโมเดล R1

 

Alexandr Wang ซีอีโอของ Scale AI ให้สัมภาษณ์กับ CNBC กล่าวหาว่า DeepSeek มีการใช้ชิป Nvidia H100 จำนวนถึง 50,000 ชิ้น ซึ่งอาจละเมิดมาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ข้อกล่าวหานี้ยังไม่มีหลักฐานยืนยัน และ DeepSeek ยังไม่ได้ตอบสนองต่อประเด็นดังกล่าว

 

มีรายงานว่า Meta ได้จัดตั้ง "war room" 4 แห่งในแผนก AI เพื่อรับมือกับสถานการณ์ ขณะที่ Satya Nadella ซีอีโอ Microsoft ทวีตว่า "เมื่อ AI มีประสิทธิภาพและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เราจะเห็นการใช้งานพุ่งสูงขึ้น กลายเป็นสิ่งจำเป็นที่เราขาดไม่ได้"

 

ด้าน Yann LeCun หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ AI ของ Meta ระบุว่า DeepSeek ได้ประโยชน์จากเทคโนโลยี Llama ของ Meta และสะท้อนถึงพลังของการวิจัยแบบเปิด

 

อย่างไรก็ตาม DeepSeek ยังมีข้อจำกัดในการตอบคำถามบางประเด็น โดยเฉพาะเมื่อถูกถามเกี่ยวกับนโยบายของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ระบบจะพยายามเบี่ยงเบนการสนทนาไปในทิศทางอื่น

 

ความสำเร็จของ DeepSeek ได้รับการยอมรับในระดับสูงของจีน โดย เลียง เหวินเฟิง ได้รับเชิญเข้าร่วมการประชุมผู้เชี่ยวชาญที่จัดโดยนายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง ในวันที่ 20 มกราคม ซึ่งเป็นวันเดียวกับการเปิดตัว DeepSeek-R1 สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของบริษัทต่อนโยบายการพัฒนาเทคโนโลยีของจีน

 

ปรากฏการณ์ครั้งนี้ได้จุดประเด็นคำถามสำคัญเกี่ยวกับการลงทุนในอุตสาหกรรม AI ความสำคัญของเทคโนโลยีแบบเปิด และประสิทธิภาพของมาตรการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยี ซึ่งผลกระทบที่แท้จริงอาจต้องติดตามในระยะยาว

ที่มา: CNBC, รอยเตอร์