ล่าสุดเมื่อวันที่ 20 ม.ค.68 ทันทีนายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่ง ประธานาธิบดีสหรัฐ สมัยที่ 2 ก็ได้ลงนามเพิกถอนคำสั่งการบริหารงานของไบเดน ที่ลงนามไว้เมื่อ 2567 อันเป็นข้อจำกัดในการพัฒนา AI
นอกจากนี้ทรัมป์ ยังเชิญผู้นำ 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ ประกอบด้วย นายมาซาโยชิ ซัน ผู้ก่อตั้งซอฟต์แบงก์กรุ๊ป คอร์ป นายแซม อัลท์แมน ซีอีโอ OpenAI และนายแลร์รี เอลลิสัน ซีอีโอ ออราเคิล คอร์ป มาประชุมที่ทำเนียบขาว เพื่อจัดตั้งบริษัทสตาร์เกต ที่จะลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ มูลค่า 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ราว 17 ล้านล้านบาท
โดยเบื้องต้น 3 บริษัทจะลงทุนก่อน 1 แสนล้านดอลลาร์ หรือ 3.7 ล้านล้านบาท จะขยายให้ถึง 5 แสนล้านดอลลาร์ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า จะสร้างงานด้าน AI ในสหรัฐฯสูงถึง 1 แสนตำแหน่ง
“ฐานเศรษฐกิจ” ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ ดร.กอบกฤตย์ วิริยะยุทธกร ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอแอพพ์เทคโนโลยี จำกัด (iAPP) หนึ่งในกูรูด้าน AI ของไทย ถึงปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น ภายใต้นโยบายทรัมป์ 2.0 รวมไปถึงโอกาส และการปรับตัวของไทยภายใต้การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
ดร.กอบกฤตย์ กล่าวว่ายุคทรัมป์ 2.0 จะเป็นตัวเร่งสำคัญที่ทำให้นักพัฒนาจีน โดยเฉพาะในสาย AI หันมามองไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบด้วย
1. เกิดการเปลี่ยนเส้นทางการค้าและเทคโนโลยีของจีนภายใต้นโยบายกดดันของสหรัฐฯ จีนต้องปรับกลยุทธ์ใหม่ โดยมุ่งสร้างพันธมิตรในตลาดที่เปิดกว้างกว่า ไทยในฐานะศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลของภูมิภาค และมีความสัมพันธ์ที่ดีทางการค้ากับจีน จึงเป็นเป้าหมายที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนในเทคโนโลยี AI หรือการตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา หรือ R&D
2. ความต้องการโซลูชัน AI ในตลาดไทย โดยประเทศไทยกำลังผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น เกษตร อุตสาหกรรมการผลิต และการแพทย์ ซึ่งเป็นจุดที่ AI สามารถเข้ามาแก้ปัญหาและเพิ่มประสิทธิภาพได้ทันที จีนซึ่งมีความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural language processing: NLP)และ Computer Vision จึงอาจมองไทยเป็นโอกาสในการขยายตลาดและทดลองนวัตกรรมใหม่
3. ข้อจำกัดในการเข้าถึงตลาดตะวันตก หากสหรัฐฯ ยังคงใช้นโยบายกีดกัน บริษัทเทคโนโลยีจีนจำเป็นต้องมองหาตลาดที่มีศักยภาพและข้อจำกัดน้อยกว่า ซึ่งไทยเป็นตัวเลือกที่ชัดเจน เนื่องจากมีนโยบายสนับสนุนการลงทุนด้านเทคโนโลยี และกำลังเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เช่น 5G และ Data Center
4. บทบาทของไทยในระบบนิเวศ AI สำหรับไทยเอง การดึงดูดนักพัฒนาจีนและบริษัทเทคโนโลยีจีน ไม่ได้เป็นเพียงโอกาสในการรับการลงทุน แต่ยังเป็นการเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากรไทยผ่านการถ่ายทอดความรู้ การร่วมวิจัย และการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ร่วมกัน
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ไทยต้องทำเพื่อดึงดูดการเคลื่อนตัวนี้ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม คือ
1. นโยบายส่งเสริม AI อย่างจริงจัง เช่น ตั้งหน่วยงานที่ดูแลด้าน AI ของไทยอย่างจริงจัง, การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี, การตั้งกองทุนสนับสนุนการพัฒนา AI
2. การสร้างบุคลากร AI ที่มีคุณภาพ ซึ่งตอนนี้ไทยขาดบุคลากรด้าน Digital และ AI อย่างมาก (มีผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital น้อยกว่า 1% ของประชากร ในขณะที่สิงคโปร์มี 8% และเพื่อนบ้านในอาเซียนมี 3% เป็นอย่่งต่ำ) เพื่อรองรับการลงทุนและการพัฒนาร่วมกัน
3. การกำหนดบทบาทของไทยในภูมิภาค ไทยต้องสร้างความแตกต่างจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น อินโดนีเซียหรือเวียดนาม ด้วยความได้เปรียบในด้านโครงสร้างพื้นฐานและนโยบายที่ยืดหยุ่น
ดังนั้น หากเราสามารถวางตำแหน่งของไทยให้เป็นพันธมิตรที่น่าเชื่อถือในสายตานักพัฒนาจีน มองว่าโอกาสที่ไทยจะเป็นจุดหมายสำคัญในยุคนี้มีสูงมาก แต่เราต้องทำให้เร็วและชัดเจน เพราะการแข่งขันในภูมิภาคนี้จะดุเดือดมากขึ้นแน่นอน