นางวรินทร สีสุขด ผู้อำนวยการอาวุโสส่วนซัพพลายเชนโซลูชัน-เทคโนโลยี บริษัท จีไอเอส จำกัด ผู้ให้บริการโซลูชันและแพลตฟอร์มเทคโนโลยีด้านการขนส่งอัจฉริยะ "นอสตร้า โลจิสติกส์" เปิดเผยว่าภาพรวมสถานการณ์ของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมานั้นมีการปรับสมดุลของห่วงโซ่อุปทานหรือซัพพลายเชนไปอย่างมาก โดยเฉพาะการเพิ่มความยืดหยุ่นและกระจายความหลากหลายให้มากขึ้น เช่น ซัพพลายเออร์ สถานที่ผลิต การจัดเก็บและกระจายสินค้า เครือข่ายการจัดจำหน่าย ตลอดจนการคมนาคมขนส่ง เมื่อทั่วโลกได้ตระหนักและเล็งเห็นปัญหาการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานโลก เนื่องจากการแพร่ระบาด ของโควิด-19 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบความสัมพันธ์ของระบบนิเวศทางโลจิสติกส์และซัพพลายเชนที่มีความหลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น
ด้วยเหตุนี้ธุรกิจโลจิสติกส์ จึงต้องปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีใหม่ พัฒนาขั้นตอนการทำงาน ใช้แนวทางปฏิบัติที่ทันสมัย และมีแนวทางเชิงกลยุทธ์อย่างรวดเร็ว พร้อมตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลง รวมทั้งการปรับตัวและการแข่งขันของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอย่างทันท่วงที และสอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างก้าวกระโดด เพื่อให้เกิดการเจริญเติบโตของธุรกิจและห่วงโซ่อุตสาหกรรมที่ยั่งยืน ลดความเสี่ยง และสร้างการแข่งขันได้ในระยะยาว
และจากสถานการณ์ในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ทั่วโลก ธุรกิจโลจิสติกส์กำลังลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการในคลังสินค้าและเครือข่ายการขนส่ง
โดยพบ 4 แนวโน้มสำคัญของการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีที่โดดเด่นและจำเป็นสำหรับธุรกิจโลจิสติกส์และซัพพลายเชนในปีนี้ ประกอบด้วย
1. การใช้เทคโนโลยี AI โดยอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ถือเป็นผู้นำในด้านการใช้ระบบกระบวนการอัตโนมัติ (Process Automation) และการใช้ Artificial intelligence (AI) เช่น หุ่นยนต์ ยานยนต์ การขนส่ง รวมถึงในระบบไอทีและซอฟต์แวร์ ด้วยอัลกอริธึมและแบบจำลองที่สามารถวิเคราะห์และนำเสนอประเภทข้อมูลที่หลากหลายสนับสนุนการตัดสินใจ เป้าหมายคือ ทำงานสำเร็จเร็วขึ้น เปลี่ยนงานที่ทำซํ้าๆ ( Routine) ให้ระบบช่วยจัดการแทน หรือลดขั้นตอนการทำงานด้วยคนให้น้อยลง และลดข้อผิดพลาด
ระบบไอทีสำหรับการขนส่งและโลจิสติกส์ที่ใช้ AI จะมีความสามารถในการบริหารจัดการและวางแผน เช่น การจัดสรรการใช้ทรัพยากรขนส่ง การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเส้นทางการจัดส่ง ทำให้เห็นสาเหตุเบื้องหลังปัญหาที่ไม่เป็นไป ตามแผนและคาดการณ์ความเป็นไปได้ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ เช่น ความล่าช้าหรือความเสี่ยงระหว่างการขนส่งจนถึงปลายทาง ตลอดจนช่วยปรับปรุงการสื่อสารแบบเรียลไทม์ระหว่างทีมโลจิสติกส์ เช่น การติดตามยานพาหนะขนส่งทำให้เห็นการขนส่งที่ออกนอกเส้นทางและสามารถใช้แชทบอท (Chatbot) หรือ ผู้ช่วยเสมือนจริง (Virtual Assistant) สื่อสารแบบเรียลไทม์ ทั้งนี้ AI จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการดำเนินงานด้านโลจิสติกส์ ทำให้รับรู้ข้อมูล (Visibility) ได้ตลอดกระบวนการภายใน โลจิสติกส์ซัพพลายเชน และสามารถจัดการกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ทันที
2. การลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ โดยการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (Carbon Footprint For Organization: CFO) เป็นแนวโน้มการดำเนินการที่ขาดไม่ได้ในปีนี้ เนื่องจากผู้บริโภคทั่วโลกต้องการความรับผิดชอบต่อสังคมและความยั่งยืนของคุณภาพชีวิตแก่โลกของเรามากขึ้น ผลักดันให้ธุรกิจทั่วโลกรวมถึงธุรกิจ โลจิสติกส์ให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมต่างๆ ขององค์กร เช่น การเผาไหม้ของเชื้อเพลิง การใช้ไฟฟ้า การจัดการของเสีย และการขนส่ง ดังนั้นธุรกิจโลจิสติกส์จึงลงทุนในเทคโนโลยีที่ช่วยลดก๊าซเรือนกระจก เช่น การใช้รถยนต์ไฟฟ้า การทำ Smart warehouse การใช้เทคโนโลยีบริหารการขนส่ง (Transportation Management System) จัดเส้นทางขนส่งที่ใช้นํ้ามันเชื้อเพลิงน้อยลง การตรวจสอบพฤติกรรมการขับขี่ และการตรวจเช็คประสิทธิภาพและบำรุงรักษารถขนส่งอย่างสมํ่าเสมอเพื่อลดการใช้เชื้อเพลิงและลดการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์จากความเสื่อมสภาพของเครื่องยนต์
3. การจัดการโลจิสติกส์แบบ Asset-Light Logistics โมเดลโลจิสติกส์ แบบ Asset-light เป็นแนวทางในการลดการพึ่งพาสินทรัพย์ในการดำเนินงาน ด้วยการจ้างบริษัทภายนอก (Outsource) ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนลดลงเมื่อเทียบกับการเป็นเจ้าของทรัพย์ด้วยตนเอง เช่น ยานพาหนะขนส่ง คลังสินค้า รวมถึงแรงงานที่ต้องใช้ในการดำเนินการ ทั้งนี้ จากข้อมูลสถิติความต้องการของบริษัทต่างๆ ต่อรูปแบบ Asset-Light Logistics ที่เพิ่มขึ้น พบว่า 67.5% ของบริษัททั่วโลก ใช้บริการบริษัทขนส่ง (2PL, 3PL) และ 63.5% ใช้บริการด้านคลังสินค้าจากบริษัทเอาท์ซอร์ส โดยหัวใจของเทคโนโลยีด้านโลจิสติกส์แพลตฟอร์มที่สำคัญ คือ จะต้องช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถมองเห็นและติดตามสินค้าของตนเองจากการขนส่งสินค้าโดยบริษัทเอาท์ซอร์สได้เช่นเดียวกับการเป็นเจ้าของทรัพย์สิน และช่วยให้สามารถเลือกและระบุบริษัท เอาท์ซอร์สที่เหมาะสมกับเงื่อนไขและสินค้าที่จะว่าจ้างขนส่ง โดยให้สอดคล้องกับมาตรฐานด้านประสิทธิภาพ ข้อกำหนดด้านต้นทุน และวัตถุประสงค์ทางธุรกิจโดยรวม
และ 4. เทคโนโลยีบนคลาวด์ ข้อดีของการใช้เทคโนโลยีบนคลาวด์ (Cloud-Based Technology) คือ การลดต้นทุนด้านโครงสร้างระบบพื้นฐานและฮาร์ดแวร์ เพิ่มความคล่องตัวในการปรับขนาดการใช้งานเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นได้ง่าย รวดเร็ว และลงทุนตํ่า
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจควรเลือกโซลูชันเทคโนโลยีหรือแพลตฟอร์มที่สามารถเชื่อมต่อเข้ากับระบบที่เกี่ยวข้องที่ใช้งานอยู่แล้วขององค์กรได้อย่างราบรื่น โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่ทุกระบบ หรือไม่ต้องทำงานแยกระบบกัน เพื่อให้เกิดการทำงานแบบ Seamless Integration สามารถใช้ข้อมูลสำคัญร่วมกันและเชื่อมต่อข้อมูลภายใต้ระบบนิเวศเทคโนโลยีเดียวกันตลอดทั้งองค์กร เช่น การเชื่อมต่อระบบบริหารงานขนส่ง TMS เข้ากับระบบ ERP ระบบบัญชี หรือระบบบริหารจัดการคลังเพื่อให้เห็นภาพรวม พร้อมวางแผนและจัดการทรัพยากรและต้นทุนค่าใช้จ่ายร่วมกันทั้งระบบ เป็นต้น