ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า (depa ) กล่าวถึงนโยบายผลักดัน Smart City ในงานสัมมนา “POSTTODAY SMART CITY THAILAND 2024” ว่า โครงสร้างเศรษฐกิจของไทยในรูปแบบพิรามิด ประกอบด้วย ล่างสุดเกษตรกร 8-12 ล้านคน สัดส่วนจีดีพี น้อยมาก ถ้าไม่ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น จีดีพีก็จะเพิ่มขึ้นยาก
ส่วนตรงกลาง SME มีประมาณ 3 ล้านราย หรืออาจมีมากถึง 5-6 ล้านราย สร้างจีดีพี ประมาณ 35-40% ส่วนบนสุดของพิรามิดคือบริษัทยักษ์ใหญ่ มีสัดส่วน 50% ของจีดีพี คำถามของความเป็น “เมืองอัจฉริยะ” ก็ คือ คนระดับล่างๆ หรือ SME หรือ ประชาชนส่วนใหญ่ 10 กว่าล้านคนของพิรามิดจะได้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างไร
โดยดีป้า มีนโยบายในการขับเคลื่อน 3 ด้าน ประกอบด้วย 1. การให้ความสำคัญคือทุนมนุษย์ ทั้งการ Reskill-Upskill คนไทยทั้งหมด สองคือ ทำอย่างไรให้ธุรกิจดั้งเดิมสามารถ Transform หรือว่าปรับเปลี่ยนตัวเองได้ รวมทั้งกลุ่ม Startups ที่จะต้องเกิดขึ้นในประเทศไทยด้วยทั้งเกม ซอฟต์แวร์ แอนิเมชั่น หรือ AI ดังนั้นกลุ่มเหล่านี้จะกลายเป็นฟันเฟืองสำคัญในกลยุทธ์การเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจดั้งเดิมสู่เศรษฐกิจใหม่
2.การสร้างความเจริญให้กับฐานรากหรือประชาชนที่อยู่ด้านล่างของพิรามิดทั้งในระดับคอมมูนิตี้และระดับเกษตรกร และ 3. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานใหม่ 1. Blockchain as a Service 2. Big data as a service และ 3.AI as a service ซึ่งตอนนี้เป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจซึ่งต้องอาศัยการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน
ผศ.ดร.ณัฐพล กล่าวต่อไปอีกว่า ไทยมีการจัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนเมืองอัจฉริยะ คณะทำงานชุดที่ 2 มีรัฐมนตรีดีอีเป็นประธาน และ ดีป้า เป็นคณะทำงานย่อย กระบวนการทำงาน คือมีเมืองเดิมและมีเมืองใหม่ที่เริ่มจากศูนย์ เมืองเดิมคือเมืองที่หน้าอยู่มากขึ้นทั้งในรูปแบบของจังหวัด เทศบาล และ อบต. ส่วนเมืองใหม่ที่เป็น กรีนฟีลด์และก็ต้องการยกระดับเมืองนั้นขึ้นมา
โดยกล่าวถึงการนำเสนอพื้นที่หรือจังหวัดเข้าสู่โครงการเมืองอัจฉริยะตามมาตรฐานในภาคพื้นอาเซียนจะต้องมีคุณสมบัติหลัก 5 ประการในการเป็นเมืองอัจฉริยะ ว่าจะต้องทำตามหลักการต่อไปนี้: 1.ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่า หนึ่งปีสองปีสามปีสี่ปีจะทำอะไร เช่น เมืองคยองจี ของเกาหลีตั้งเป้าหมายอยากเป็นเมืองอัจฉริยะด้าน สตาร์ทอัพ ภายในระยะเวลา 10 ปีแต่มีการวัดผลทุก 3-4 ปี
2.ออกแบบเมืองในงบลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ถนน ไฟฟ้า น้ำประปา และเรื่องของดิจิทัล ถ้าไม่มีก็ไม่ผ่านหลักเกณฑ์ของการเป็นเมืองอัจฉริยะในการขอรับสิทธิ ไม่ว่าจะระดับจังหวัด เทศบาล อบต จะต้องมีเรื่องของการลงทุนในเชิงกายภาพ (Physical) และ Non-Physical ด้วย
3.ต้องมีการวางแผนมีการจัดการให้เมืองนั้นๆ ที่สำคัญมาก โดยต้องมีข้อมูล หรือ ดาต้า ทั้งสถิติ หรือ ดาต้าจากเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองบางเมืองเริ่มเก็บภาพแต่ไม่มีการเชื่อมโยงกัน บางเมืองเริ่มใช้เซ็นเซอร์ แต่ไม่เชื่อมโยงกัน เพราะฉะนั้นแผนงานในการพัฒนาดาต้า ต้องมาเป็นเชื่อมโยงข้อมูลกัน ถ้าไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรก็มีแนวทางคือ บริษัทเอกชนที่ลงไปพัฒนาเรื่องดาต้าในพื้นที่จะได้สิทธิภาษีเพิ่มขึ้นจากเดิมมีการกำหนดวงเงินทุนจดทะเบียน หรือการลงทุน แต่ล่าสุดไม่จำกัดการลงทุน ซึ่งได้รับการสิทธิประโยชน์ทางภาษี
4. ทุกเมืองจะต้องทำตามมาตรฐาน 7 ประการ คือ 7 Smart แต่ 7 ข้อนี้ แต่บางเมืองอาจจะมีแค่สองสามสี่ หรือ หนี่งหรือสอง แต่ความจริงสิ่งที่ต้องมีเรื่องสิ่งแวดล้อม บวกหนึ่งเป็นสอง แต่ละเมืองต้องเลือก ความสำคัญเป็นอันดับแรกของการขับเคลื่อนสมาร์ทซิตี้ เพราะแต่ละเมืองไม่ เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องทำให้ครบทั้ง 7 ด้าน และ 5. เน้นเอกชนลงทุนมากกว่ารัฐ นี่คือกระบวนการที่เกิดขึ้นในเมือง
ผศ.ดร.ณัฐพล กล่าวปิดท้ายว่า สำหรับบริการขึ้นบัญชีบริการดิจิทัลที่มีมาตรฐาน หรือ การขึ้นทะเบียนมาตรฐานเทคโนโลยี เป็นอีกหนึ่งปัจจัยกระตุ้นให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของประเทศ ช่วยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยได้แสดงความสามารถผ่านการพัฒนาสินค้าหรือบริการดิจิทัลที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐานระดับสากล มีราคาที่สมเหตุสมผล และถูกนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ภาคประชาชน โดยมีตลาดภาครัฐเป็นแก่นสำคัญ ที่สำคัญที่สุดคือ "บัญชีบริการดิจิทัล" จะเป็นกลไกสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะของไทย