โลกใบเล็กลงจากการคมนาคมที่เชื่อมโลก การหลอมรวมวัฒนธรรม ทำให้เกิดเป็นวัฒนธรรมกลายพันธุ์เป็นวัฒนธรรมของโลก เทคโนโลยีสื่อสาร ที่ทุกความเห็น จากทุกมุมโลก นำมาแชร์กัน คนคิดเหมือนกันในทุกมุมโลก แลกเปลี่ยนความคิดกัน เกิดการระบาดทางอารมณ์ ข่าวสารในทุกทวีป นำมาออกอากาศพร้อมกัน ในยุคโลกาภิวัตน์ที่ทุกประเทศเชื่อมต่อกันอย่างไม่เคยมีมาก่อน สิ่งที่เคยเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละประเทศกลับเริ่มจางหาย ร้านค้า แบรนด์ และวิถีชีวิตที่เคยสะท้อนความแตกต่างของแต่ละพื้นที่กลับถูกแทนที่ด้วยสิ่งที่เหมือนกันทั่วโลก ผลลัพธ์คือการสูญเสีย "มนต์เสน่ห์" ที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้โลกนี้เต็มไปด้วยความหลากหลายและน่าค้นหา
โลกไร้รอยต่อทำให้เสน่ห์จางหาย เราไปที่ไหนทั่วโลก ก็จะพบทุกแบรนด์เหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นหลุยส์ วิตตอง H&M หรือแมคโดนัลด์ ทุกที่ทุกแห่งล้วนสะท้อนถึงความเหมือนที่เกิดจากโลกาภิวัตน์แทนที่จะเป็นความหลากหลายเชิงวัฒนธรรมที่แต่ละประเทศเคยภาคภูมิใจ
แต่ในความท้าทายนี้ Soft Power หรือ "พลังซ่อนเร้น" กลับเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยฟื้นฟูเสน่ห์ของแต่ละประเทศ และยังเป็นกลไกที่เชื่อมโยงเข้ากับแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืนที่โลกกำลังให้ความสำคัญได้อีกด้วย
Soft Power หมายถึงความสามารถในการดึงดูดและสร้างอิทธิพลโดยไม่ใช้กำลัง แต่ผ่านวัฒนธรรม ค่านิยม และนโยบายที่สร้างแรงบันดาลใจ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เช่น เกาหลีใต้ที่ใช้ K-Pop ซีรีส์เกาหลี และอาหารอย่างกิมจิ จนกลายเป็นกระแสระดับโลก หรือญี่ปุ่นที่สร้างอิทธิพลผ่านอนิเมะ ซามูไร และแฟชั่นแบบฮาราจูกุ ที่ผสมผสานเอกลักษณ์ดั้งเดิมกับความทันสมัย
ประเทศไทยเองก็มี Soft Power ที่ทรงพลัง เช่น อาหารไทยที่ได้รับการยอมรับระดับโลก ประเพณีสงกรานต์ที่สร้างความประทับใจ หรือมวยไทยที่กลายเป็นศิลปะการต่อสู้ระดับสากล สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงสะท้อนวัฒนธรรม แต่ยังสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนของการใช้ Soft Power คือ การที่เครือซีพีสนับสนุนนักกีฬาไทยในเวทีโลก เวลาเราเห็นนักกีฬาไทย เป็นที่ชื่นชอบในเวทีโลก เช่น "โปรจีน" อาฒยา ฐิติกุล นักกอล์ฟสาวชาวไทย ทุกการแข่งขันตีกอล์ฟในประเทศต่าง ๆ เป็นการนำฝีมือคนไทยไปในเวทีโลก นอกจากนี้ยังมีมวยไทย ที่มีการสอดแทรกวัฒนธรรมไทยอย่างมาก ซึ่งเครือซีพีได้สนับสนุนนักกีฬามวยมาโดยตลอด
อีกตัวอย่างหนึ่งคือ การที่เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ได้ร่วมสนับสนุนมูลนิธิเชฟแคร์สและกระทรวงการต่างประเทศนำอาหารไทยไปแสดงบนเวที World Economic Forum 2025 (WEF 2025) ซึ่งถือเป็นเวทีระดับโลกที่มีผู้นำประเทศ นักธุรกิจ และผู้ทรงอิทธิพลจากทั่วโลกเข้าร่วม การนำเสนออาหารไทยในครั้งนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงคุณภาพและความหลากหลายของอาหารไทย แต่ยังเป็นการตอกย้ำเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่โดดเด่นของประเทศไทยที่เป็น Soft Power ในสายตาชาวโลก โดยเชฟชั้นนำจากประเทศไทยจะรังสรรค์เมนูเด่นประจำชาติ อาทิ แกงมัสมั่น ต้มยำกุ้ง ฯลฯ เสิร์ฟบนเวทีระดับโลกนี้ โดยใช้วัตถุดิบคุณภาพจากเครือเจริญโภคภัณฑ์
การโชว์อาหารไทยบนเวทีระดับโลกอย่าง WEF ยังช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ประเทศไทยในฐานะแหล่งวัฒนธรรมอาหารที่มีคุณค่า และสนับสนุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) ที่สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน การใช้วัตถุดิบท้องถิ่นที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการสร้างเรื่องราวที่สื่อถึงวัฒนธรรมผ่านอาหาร ล้วนเป็นวิธีการสำคัญที่ช่วยส่งเสริม Soft Power ของไทยให้แข็งแกร่งในเวทีโลก
Soft Power สามารถขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนใน 3 มิติหลัก ได้แก่ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ในมิติทางเศรษฐกิจ Soft Power สนับสนุนการส่งออกสินค้าและบริการที่สะท้อนเอกลักษณ์ไทย เช่น อาหารไทย ผ้าไหมไทย และงานหัตถกรรมพื้นบ้าน รวมถึงการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงวิถีชีวิตและประเพณีชุมชน เช่น โฮมสเตย์ที่ใช้วัตถุดิบท้องถิ่น ในมิติทางสังคม Soft Power ช่วยกระตุ้นให้คนไทยภูมิใจในรากเหง้าผ่านเทศกาลและกิจกรรมท้องถิ่น พร้อมทั้งกระจายรายได้ให้ชุมชนชนบทผ่านโครงการ OTOP ที่ช่วยอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น ส่วนในมิติทางสิ่งแวดล้อม Soft Power ช่วยส่งเสริมการผลิตที่ยั่งยืน เช่น การใช้วัสดุธรรมชาติในการผลิตกระทงในเทศกาลลอยกระทง รวมถึงการท่องเที่ยวแบบคาร์บอนต่ำในพื้นที่ที่มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์
Soft Power ของไทยยังสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติ เช่น เป้าหมายที่ 8 การส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมช่วยสร้างงานที่มีคุณค่าและกระจายรายได้ให้ชุมชน เป้าหมายที่ 12 การใช้ทรัพยากรในกระบวนการผลิตอย่างมีความรับผิดชอบ เป้าหมายที่ 13 การท่องเที่ยวและการผลิตที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเป้าหมายที่ 17 การสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศผ่าน Soft Power
ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเป็นตัวอย่างของการใช้ Soft Power เพื่อสนับสนุนความยั่งยืน โดยการยกระดับนโยบายสนับสนุนสินค้าท้องถิ่นที่ผลิตอย่างยั่งยืน และการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในชุมชน ใช้ Storytelling เพื่อเล่าเรื่องวัฒนธรรมไทยในบริบทที่สอดคล้องกับความยั่งยืน เช่น การผลิตผ้าไหมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ออกแผนแม่บท Soft Power ไทยที่ชัดเจนโดยเน้นความเชื่อมโยงกับความยั่งยืน ใช้ศิลปิน นักกีฬา และผู้มีชื่อเสียงเผยแพร่ Soft Power และบูรณาการกับนโยบายเศรษฐกิจ BCG ที่ใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนและส่งเสริมนวัตกรรมเชิงวัฒนธรรม
อย่างไรก็ตาม การผลักดัน Soft Power เพื่อความยั่งยืนในอนาคตต้องเริ่มจากการศึกษาและปลูกฝังจิตสำนึก บูรณาการ Soft Power และความยั่งยืนในหลักสูตรการศึกษา สร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ เช่น ความร่วมมือกับองค์กร UNESCO พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น คอนเทนต์เกี่ยวกับวิถีชีวิตไทยบน TikTok และ YouTube และจัดตั้งศูนย์ส่งเสริม Soft Power ไทยเป็นศูนย์กลางเชิงกลยุทธ์ในการวางแผนและบริหารจัดการ
Soft Power ไม่ได้เป็นเพียงพลังที่ช่วยเติมเสน่ห์ที่จางหายไปในยุคโลกาภิวัตน์ แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศ หากเราสามารถเชื่อมโยงเอกลักษณ์ไทยเข้ากับแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืน ประเทศไทยจะไม่เพียงรักษาเอกลักษณ์ของตัวเอง แต่ยังกลายเป็นต้นแบบที่โลกจับตามอง
“Soft Power ของไทยไม่เพียงแค่สร้างเสน่ห์ แต่ยังสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับคนรุ่นต่อไป”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง