ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของนักลงทุนต่างชาติ โดยในปี 2567 การลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) ที่ยื่นขอรับการส่งเสริมจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) สูงถึง 832,114 ล้านบาท มากที่สุดในรอบ 10 ปี ซึ่งการไหลเข้าของทุนจำนวนมหาศาลนี้ ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรม การจ้างงาน และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโดยตรง
นายนรศักดิ์ ศุภกรธนกิจ หัวหน้าฝ่ายตลาดทุนและการลงทุน คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย เปิดเผยว่า นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจลงทุนในประเทศไทยผ่านหลายช่องทาง ทั้งการเข้ามาร่วมทุนกับผู้ประกอบการไทยเพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ และการเข้าซื้อโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีอยู่ โดยเฉพาะในภาคธุรกิจการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นภาคเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ นักลงทุนบางกลุ่มยังมองหาที่ดินในทำเลศักยภาพเพื่อพัฒนาโครงการดาต้าเซ็นเตอร์ โดยทำเลที่ได้รับความสนใจมากที่สุด ได้แก่ กรุงเทพฯ และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งมีโครงสร้างพื้นฐานพร้อมรองรับอุตสาหกรรมดิจิทัล โดยเฉพาะความมั่นคงด้านพลังงานและระบบสาธารณูปโภค
ส่งผลให้ราคาที่ดินในประเทศไทยยังคงปรับตัวสูงขึ้น แม้ว่าการขยายตัวจะชะลอลงบ้างในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่แนวโน้มยังคงเป็นขาขึ้น นายนรศักดิ์กล่าวเพิ่มเติมว่า เจ้าของที่ดินบางรายเลือกที่จะไม่ขายที่ดินของตนเอง
โดยเฉพาะที่ดินในทำเลที่ดี เนื่องจากหากขายไปอาจไม่มีโอกาสกลับมาถือครองในอนาคต เว้นแต่จะซื้อในราคาที่สูงมาก นักลงทุนบางส่วนจึงหันมาใช้กลยุทธ์การเช่าระยะยาวแทนการซื้อขายขาด เพื่อให้สามารถลดต้นทุนและคงความสามารถในการพัฒนาโครงการได้
นายนรศักดิ์ยังกล่าวว่า "เครือข่ายของคุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ซึ่งครอบคลุมนักลงทุนจากทั่วโลก ส่งผลให้มีความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนที่เข้ามาติดต่อมีทั้งจากญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน รวมถึงยุโรปและสหรัฐฯ โดยประเภทของโครงการที่ได้รับความสนใจมีทั้งภาคอุตสาหกรรม โรงแรม และที่อยู่อาศัย"
ทั้งนี้ การเติบโตของการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติในประเทศไทยสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศในฐานะศูนย์กลางของอุตสาหกรรมและอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาค ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะยาว