“แอล ดับเบิลยู เอสฯ” ชี้อสังหาฯ 68 อาจชะลอ เหตุพิษเศรษฐกิจ-กำลังซื้ออ่อนแอ

29 ม.ค. 2568 | 07:30 น.

แอล ดับเบิลยู เอสฯ คาด 3 ฉากทัศน์อสังหาฯ 68 อาจชะลอตัว ผลจากกำลังซื้อหดตัว โครงการบ้านเพื่อคนไทยดูดซับตลาดกลาง-ล่าง และสต็อกสินค้าเหลือสูง ด้านผู้ประกอบการควรปรับแผนรับความท้าทายใหม่

นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด เปิดเผยว่า การเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลปี 2568 อาจชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปี 2567

สาเหตุหลักมาจากกำลังซื้อที่ลดลง และโครงการบ้านเพื่อคนไทยของรัฐบาลซึ่งอาจดูดซับกลุ่มตลาดกลางถึงล่าง โดย แอล ดับเบิลยู เอสฯ ได้คาดการณ์ความเป็นไปได้ในการเปิดตัวโครงการใหม่ใน 3 ฉากทัศน์ โดยพจารณาถึงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ และกำลังซื้อ ได้แก่

  • กรณีดีที่สุด (Best Case) หากเศรษฐกิจโต 2.8-3% การท่องเที่ยวฟื้นตัวเต็มที่ และมาตรการรัฐเดินหน้าเต็มกำลัง จะมีโครงการเปิดตัวใหม่ประมาณ 62,000-65,000 หน่วย มูลค่ารวม 403,000-422,000 ล้านบาท เติบโต 3-7%
  • กรณีปกติ (Base Case) เศรษฐกิจโตเพียง 2-2.5% การเปิดตัวโครงการใหม่จะอยู่ที่ 56,000-61,000 หน่วย มูลค่า 364,000-403,000 ล้านบาท ใกล้เคียงปีก่อน
  • กรณีแย่ที่สุด (Worst Case) หากเศรษฐกิจโตต่ำกว่า 2% และปัญหาหนี้ครัวเรือนไม่ได้รับการแก้ไข จำนวนโครงการใหม่อาจลดลงกว่า 5% โดยมีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ต่ำกว่า 1.012 ล้านล้านบาท

ทั้งนี้ การเข้าถึงสินเชื่อเป็นปัญหาสำคัญ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ซื้อบ้านราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งอัตราการปฏิเสธสินเชื่อสูงถึง 70% นอกจากนี้ สถาบันการเงินยังเข้มงวดในการพิจารณาสินเชื่อโครงการ ทำให้ผู้พัฒนาอสังหาฯ หลายรายต้องชะลอแผนเปิดตัวโครงการใหม่

ขณะเดียวกันโครงการบ้านเพื่อคนไทยของรัฐบาลอาจเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อกำลังซื้อในตลาดระดับกลางถึงล่างซึ่งคิดเป็น 40% ของกำลังซื้อในตลาด โดยเฉพาะในทำเลที่มีศักยภาพ เช่น กม.11 ที่ใกล้แนวรถไฟฟ้า ส่งผลให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ จำเป็นต้องทบทวนและปรับแผนธุรกิจให้สอดรับกับกำลังซื้อในตลาด

“แอล ดับเบิลยู เอสฯ” ชี้อสังหาฯ 68 อาจชะลอ เหตุพิษเศรษฐกิจ-กำลังซื้ออ่อนแอ

นายประพันธ์ศักดิ์กล่าวว่า ตลาดอสังหาฯ ในปี 2568 จะต้องใช้เวลาในการระบายสต็อกที่อยู่อาศัยในระบบซึ่งเพียงพอต่อการขายอีก 2-3 ปี ผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับตัวทั้งด้านแผนธุรกิจและการพัฒนาสินค้าเพื่อตอบโจทย์กำลังซื้อในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ประกอบกับมาตรการของรัฐ อย่างการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองที่หมดอายุไปเมื่อวันที่ 31 ธันวาคมที่ผ่านมา ทำให้ต้นทุนในการซื้อที่อยู่อาศัยสูงขึ้น แม้บริษัทอสังหาฯ อาจจะยังคงลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองให้กับลูกค้าเองจากกลยุทธ์ในการดึงดูดลูกค้า 

ผู้ประกอบการอสังหาฯ จำเป็นที่จะต้องทบทวน และหามาตรการทางการตลาดที่เหมาะสมให้สอดคล้องกับกำลังซื้อในปัจจุบัน การชะลอแผนเปิดตัวโครงการใหม่ และเน้นการขายสินค้าคงเหลือที่เป็นต้นทุนเดิม อาจจะยังเป็นทางเลือกของผู้ประกอบการอสังหาฯ ในปี 2568