ORI ทำกำไร 738 ล้าน ต่างชาติตบเท้าร่วมทุนเพิ่ม

16 พ.ค. 2565 | 11:37 น.
อัปเดตล่าสุด :16 พ.ค. 2565 | 18:43 น.

ORI เผยผลประกอบการ Q1 ปี 2565 ทำกำไรสุทธิ 738 ล้านบาท หลังโครงการบ้าน-คอนโด ทยอยโอนฯ ส่งผลกลุ่มทุนต่างชาติเชื่อใหม่ ลงขันใหม่ 5 โครงการ ขณะธุรกิจโรงแรม เผยอัตราเข้าพักเพิ่ม หลังผ่อนคลายเปิดประเทศ คาดหนุนรายได้แตะ 17,500 ล้านตามเป้า

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2565 (ม.ค.-มี.ค.2565) บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 3,776 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดโอนกรรมสิทธิ์ของคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรที่ไม่ได้อยู่ภายใต้กิจการร่วมค้า (Non-JV) กว่า 3,041 ล้านบาท และรายได้อื่นๆ เช่น ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจบริการ รายได้พิเศษจากกิจการร่วมทุน รวมถึงรายได้จากการบริหารโครงการร่วมทุนที่มีการรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิที่ 738 ล้านบาท

สำหรับโครงการที่มีส่วนสำคัญต่อการสร้างยอดโอนกรรมสิทธิ์ในไตรมาส 1/2565 ประกอบด้วย โครงการที่เริ่มโอนกรรมสิทธิ์เป็นครั้งแรกอย่างโครงการคอนโดมิเนียม ดิ ออริจิ้น ราม 209 อินเตอร์เชนจ์ (The Origin Ram 209 Interchange) โครงการที่ทยอยโอนกรรมสิทธิ์อย่างต่อเนื่องทั้งในกรุงเทพฯ และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เช่น พาร์ค ออริจิ้น พญาไท (Park Origin Phayathai) นอตติ้ง ฮิลล์ ระยอง (Notting Hill Rayong) ในโครงการออริจิ้น สมาร์ท ซิตี้ ระยอง ขณะเดียวกัน ยอดขายในไตรมาส 1/2565 ซึ่งอยู่ที่ 8,149 ล้านบาท ที่เติบโตจากช่วงเดียวกันของปี 2564 ราว 6% และเติบโตจากไตรมาสก่อนหน้าถึง 11% ก็มีส่วนสำคัญในการผลักดันยอดโอนกรรมสิทธิ์โครงการพร้อมอยู่ด้วย
 

ทั้งนี้ จากผลการดำเนินงานที่ยังคงรักษาเสถียรภาพได้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กลุ่มทุนทั้งไทยและต่างชาติยังคงให้ความสนใจในการพัฒนาโครงการร่วมทุน (Joint Venture Project) กับบริษัทอย่างต่อเนื่อง โดยไตรมาส 1/2565 ที่ผ่านมานี้ มีโครงการร่วมทุนเพิ่มขึ้นถึง 5 โครงการ โดยมีถึง 4 โครงการที่ได้รับความไว้วางใจจากบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด ประกอบด้วย โครงการคอนโดมิเนียม 2 โครงการ คือ โซ ออริจิ้น พหลโยธิน 69 (So Origin Phaholyothin 69) และออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ ศรีนครินทร์ (Origin Plug & Play Srinakarin)

 

โครงการบ้านจัดสรร 2 โครงการ คือ โครงการบริทาเนีย ทาวน์ บางนา กม.17 (Britania Town Bangna KM.17) และบริทาเนีย โฮม บางนา กม.17 (Britania Home Bangna KM.17) และ อีก 1 โครงการ ที่เป็นการร่วมทุนที่ได้พันธมิตรใหม่ (Partner) อย่าง บริษัท โลฟิส (ไทยแลนด์) จำกัด คือ โครงการแกรนด์บริทาเนีย คูคต สเตชั่น ซึ่งนับเป็นก้าวแรกของบริทาเนียในการร่วมทุน พัฒนาโครงการกับพาร์ทเนอร์ชั้นนำ


นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า สำหรับไตรมาส 2/2565 นั้น โครงการคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ (Park Origin Thonglor) มูลค่าโครงการกว่า 12,000 ล้านบาท จะเริ่มทยอยโอนกรรมสิทธิ์เป็นครั้งแรก โดยปัจจุบันโครงการดังกล่าวมียอดขายรอรับรู้รายได้ (แบ็คล็อก) ตุนอยู่แล้วกว่า 70% ของมูลค่าโครงการ ซึ่งน่าจะมีส่วนสำคัญต่อยอดโอนกรรมสิทธิ์และรายได้ตั้งแต่ไตรมาส 2/2565 ขณะเดียวกัน ภาพรวมแบ็คล็อกของบริษัทในปัจจุบัน ทั้งกลุ่มโครงการ JV และ Non-JV มีมูลค่ารวมกว่า 35,800 ล้านบาท คาดว่าจะมีส่วนสำคัญให้ยอดโอนกรรมสิทธิ์ในช่วง 3 ไตรมาสที่เหลือเติบโตอย่างต่อเนื่อง

 

ขณะเดียวกัน ฝั่งธุรกิจอื่นๆ ภายใต้แผนการเติบโตแบบพหุจักรวาล หรือ Origin Multiverse ก็ยังคงเดินหน้าเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มธุรกิจโรงแรมภายใต้บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด ยังคงมองเห็นสัญญาณที่ดีในการเติบโต โดยไตรมาส 1/2565 นี้ โรงแรม 2 แห่งแรก คือ สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ (Staybridge Suites Bangkok Thonglor) และฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีทส์ ศรีราชา แหลมฉบัง (Holiday Inn & Suites Siracha Laemchabang) มีอัตราการเข้าพักกว่า 83% และ 58% ตามลำดับ เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ขณะที่ไตรมาส 2/2565 จะมีการรับรู้รายได้เพิ่มเติมจากโรงแรมไอบิส (ibis) 3 แห่งที่เพิ่งดำเนินการซื้อกิจการเสร็จสิ้น และน่าจะได้รับอานิสงส์เพิ่มเติมจากการผ่อนคลายมาตรการด้านการท่องเที่ยวและเปิดรับชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยมากขึ้น จากปัจจัยทั้งหมดจึงคาดว่ารายได้ของบริษัทในปีนี้จะยังคงเป็นไปตามเป้าหมายที่ 17,500 ล้านบาท

 

ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 1/2565 ทริส เรทติ้ง ได้ปรับอันดับเครดิตของบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) จากระดับ BBB แนวโน้ม Positive สู่ระดับ BBB+ แนวโน้ม Stable เนื่องจากบริษัทมีผลประกอบการที่ดีอย่างต่อเนื่อง และสามารถก้าวสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างต่อเนื่อง ชิงส่วนแบ่งทางการตลาดทั้งในธุรกิจคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีสินค้าครอบคลุมหลากหลายระดับราคาไปจนถึงราคา 50 ล้านบาท มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนลดลงจนอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 1 เท่าและยังสามารถสร้างรายได้และยอดขายได้อย่างเติบโต แม้ภายใต้สถานการณ์ COVID-19 ในปี 2564 ที่ผ่านมา