กานดาฯอัดงบกว่า3พันล้าน รุกตลาดใหม่/เข้มก่อนยื่นกู้ รับมาตรการรัฐคืนชีพอสังหาฯ

05 มี.ค. 2559 | 14:00 น.
กานดา พร๊อพเพอร์ตี้ มั่นใจตลาดอสังหาฯฟื้น เหตุมีมาตรการรัฐหนุน คาดมีโครงการเปิดขายใหม่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล เพิ่ม 5% แต่ยอดโอนลดลง 10% พร้อมกางแผนรุกตลาดเปิดใหม่ 5 โครงการ มูลค่า 3.5พันล้าน เผยยอดรีเจ็กต์พุ่งกว่า 15% เล็งงัดมาตรการตรวจสอบเข้มก่อนยื่นกู้

[caption id="attachment_35260" align="aligncenter" width="368"] อิสระ บุญยัง  กรรมการผู้จัดการ  บริษัท กานดา พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด อิสระ บุญยัง
กรรมการผู้จัดการ
บริษัท กานดา พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด[/caption]

นายอิสระ บุญยัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยถึง สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ปี 2559 ว่า โครงการเปิดขายใหม่ในปีนี้จะมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 0-5% โดยส่วนใหญ่จะเป็นการเติบในกลุ่มสินค้าแนวราบ ขณะที่ในกลุ่มของคอนโดมิเนียมยังคงมีการชะลอตัวอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา เนื่องจากยังมีซัพพลายในตลาดค่อนข้างมาก ทำให้ผู้ประกอบการยังคงระมัดระวังการเปิดตัวโครงการใหม่ โดยคาดทั้งปีตัวเลขการเปิดตัวโครงการใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลเพิ่มขึ้นจากปี 2558 ประมาณ 5%

สำหรับแนวโน้มราคาที่อยู่อาศัยแนวราบในปีนี้ คาดว่าจะปรับตัวขึ้นไม่เกิน 5% ส่วนราคาคอนโดฯเขตรอบในและรอบกลาง ยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยเรื่องราคาที่ดินที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้นและราคาค่าก่อสร้างที่ยังทรงตัวในระดับราคาสูง จากการมีผู้รับเหมาอาคารสูงจำนวนจำกัด ในขณะที่ระดับราคาคอนโดฯชานเมืองที่จะออกสู่ตลาดระดับราคาไม่ถึง 1 ล้านบาท จะออกมาทดแทนตลาดทาวน์เฮาส์เป็นการถาวร

"ปัจจัยที่ส่งผลดีตอตลาดที่อยู่อาศัยในปีนี้คือ ภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว ขณะที่อัตราดอกเบี้ยยังคงทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ราคาน้ำมันก็มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ส่งผลดีต่อการควบคุมต้นทุนของผู้ประกอบการโดยเฉพาะวัสดุพื้นฐานที่ให้ในการพัฒนา เช่น ดินถม ลูกรัง หินคลุก และการขนส่งวัสดุอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีในเรื่องของการลงทุนด้านโครงข่ายคมนาคมของภาครัฐ ที่จะช่วยเพิ่มปริมาณเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์" นายอิสระกล่าว

ในส่วนของการโอนกรรมสิทธิ์ปี 2559 คาดว่าจะลดลง 10% หลังจากหมดมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ โดยยอดโอนกรรมสิทธิ์ปี 2558 มีจำนวน 196,497 หน่วย เพิ่มขึ้น 13% ที่อยู่อาศัยแนวราบเพิ่มขึ้น 17% จาก 106,644 หน่วย เป็น 124,664 หน่วย และคอนโดฯเพิ่มขึ้น 7% จาก 67,311 หน่วย เป็น 71,833 หน่วย มีผลทำให้การโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มขึ้น 13% จาก 173,955 หน่วย เป็น 196,497 หน่วย ถือว่าเป็นการโอนกรรมสิทธ์ที่มีจำนวนสูงสุดรอบ 18 ปี

ทั้งนี้ ในปี 2559 บริษัทมีแผนจะเปิดตัวใหม่ 5 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 3.5 พันล้านบาท เป็นโครงการแนวราบทั้งหมด ประกอบด้วย โครงการไอลีฟ รังสิต คลอง 4 บ้านเดี่ยวผสมบ้านแฝด ระดับราคา 2.5-5 ล้านบาท จำนวน 400 หน่วย ,โครงการไอลีฟแสมดำ บ้านแฝดผสมทาวน์โฮม จำนวนกว่า 400 หน่วย, โครงการไอลีฟทาวน์ ลำลูกกา คลอง 6 ระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท จำนวน 307 หน่วย, โครงการ ไอลีฟบิสส์พระราม 2 โครงการอาคารพาณิชย์ 33 ยูนิต ระดับราคา 4 ล้านบาท และโครงการเดอะเฟิร์สโฮม ลำลูกกา คลอง 6 ทาวนเฮาส์จำนวน 200 หน่วย โดยมีเป้ายอดขายที่ 2-2.1 พันล้านบาท โดยในช่วง 2 เดือนแรก (ม.ค.-ก.พ) บริษัทมียอดขาย 400 ล้านบาท สำหรับเป้ายอดโอนในปีนี้คือ 1.55 พันล้านบาท โตจากปี 2558 ประมาณ 5%

สำหรับนโยบายการหลักของการดำเนินงานปี 2559 นายอิสระ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทจะไม่เน้นการเติบโตทางด้านยอดขายมากนัก แต่จะพยายามเพิ่มอัตรากำไรให้สูงขึ้น โดยจะเน้นในเรื่องการลดอัตราการการถูกปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้า โดยมีเป้าว่าจะมีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อให้ต่ำกว่า 15% เนื่องจากการถูกปฏิเสธสินเชื่อทำให้บริษัทเสียโอกาสในการขาย ดังนั้น บริษัทจะมีมาตรการเข้มมากขึ้น ในเรื่องการตรวจประวัติการเงินของลูกค้า (ฟรีแอพพรูฟ) ก่อนที่จะรับจอง เพราะเชื่อว่าจะมีจำนวนลูกค้าเข้ามาซื้อมากกว่าปกติ ก่อนมาตรการอสังหาฯสิ้นสุดลง ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทเปิดรับจองเลย ทำให้ยอดการปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าสูงถึง 20% ปัจจุบันบริษัทมีสต๊อกบ้านพร้อมอยู่รองรับมาตรการ มูลค่าประมาณ 4 พันล้านบาท

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,136 วันที่ 3 - 5 มีนาคม พ.ศ. 2559