หนี้นอกระบบ...ปัญหาที่ซับซ้อนในด้านสังคม

29 พ.ย. 2566 | 13:45 น.
อัปเดตล่าสุด :29 พ.ย. 2566 | 13:56 น.

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมอง หนี้นอกระบบ...ปัญหาที่ซับซ้อนในด้านสังคม คุณภาพชีวิต และเศรษฐกิจของภาคครัวเรือน

รัฐบาลประกาศให้ "การแก้ไขหนี้นอกระบบ" เป็นวาระชาติ โดยจะเปิดให้ลูกหนี้ลงทะเบียนเพื่อนำไปสู่การไกล่เกลี่ย ปรับโครงสร้าง และปลดภาระหนี้

• ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า หนี้นอกระบบสะท้อนปมปัญหาที่ซับซ้อนทางด้านสังคม คุณภาพชีวิต และเศรษฐกิจของภาคครัวเรือน ซึ่งหากสามารถช่วยลูกหนี้ให้เข้าถึงสินเชื่อในระบบได้เพิ่มขึ้น ผลได้ที่ชัดเจนที่สุดก็คือ ภาระดอกเบี้ยที่ลดลงของลูกหนี้

• เป้าหมายสำคัญของการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ก็คือ การทำให้ลูกหนี้กลับเข้ามาอยู่ในระบบ ซึ่ง “มาตรการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน” ของธปท. ในช่วงก่อนหน้านี้ ก็มีการเตรียมหลักเกณฑ์ Risk-based pricing สำหรับสินเชื่อไม่มีหลักประกันเพื่อช่วยดูแลกลุ่มลูกหนี้นอกระบบด้วยเช่นกัน

ขณะที่ ประเด็นสำคัญของแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของภาครัฐ จะอยู่ที่กระบวนการตรวจสอบสถานะของทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ รวมไปถึงการจูงใจให้เจ้าหนี้มาร่วมแก้ปัญหาให้กับลูกหนี้

• สำหรับในระยะข้างหน้า คงต้องติดตามการแก้ปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนส่วนที่อยู่ในระบบ ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนอาจขยับขึ้นไปที่กรอบ 16.4-16.5 ล้านล้านบาท ณ สิ้นปี 2566 คิดเป็นสัดส่วนราว 90-91% ต่อจีดีพี

• ในการแถลงข่าวแนวทางการแก้หนี้นอกระบบ (28 พ.ย. 2566) รัฐบาลได้มีการประกาศให้ "การแก้ไขหนี้นอกระบบ" เป็นวาระชาติ โดยมีการประเมินว่า หนี้นอกระบบของไทยอาจมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 50,000 ล้านบาท ซึ่งในการแก้หนี้นอกระบบนั้น

ภาครัฐจะมีการปรับกระบวนการทำงานของหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทำฐานข้อมูลกลางและระบบที่สามารถติดตามผลได้ รวมถึงจะมีการใช้โครงการสินเชื่อของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐเข้ามาเสริมสภาพคล่องให้กับลูกหนี้ ซึ่งสาระสำคัญของแนวทางการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบซึ่งมีการเปิดเผยออกมาล่าสุด ประกอบด้วย

1)การไกล่เกลี่ยระหว่างลูกหนี้และเจ้าหนี้ โดยภาครัฐจะเปิดช่องทางเพื่อให้ลูกหนี้สามารถขอรับความช่วยเหลือเพื่อแก้ไขหนี้สินนอกระบบ ซึ่งหน่วยงานของภาครัฐจะเข้ามาดูแลในเรื่องของสัญญากู้ยืมและการทวงถามหนี้ที่จะต้องเป็นไปตามกฏหมายและเป็นธรรมกับลูกหนี้ และจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในกระบวนการไกล่เกลี่ยระหว่างลูกหนี้และเจ้าหนี้ด้วย

2)การปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งจะมีการปรับระยะเวลา เงื่อนไข และกระบวนการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยในส่วนของอัตราดอกเบี้ยนั้นจะต้องไม่เกิน 15% ตามพ.ร.บ. ห้ามเรียกอัตราดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560

3) เพิ่มการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ โดยจะมีการเดินหน้าโครงการสินเชื่อของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ  อาทิ สินเชื่อโครงการธนาคารประชาชนเพื่อแก้ไขหนี้นอกระบบ สินเชื่อเพื่อผู้ประกอบอาชีพอิสระรายย่อย และสินเชื่อกองทุนหมุนเวียนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ยากจน

4) สนับสนุนให้เจ้าหนี้นอกระบบเข้ามาอยู่ในระบบ ผ่านการขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ หรือ พิโกไฟแนนซ์

 

 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ปัญหาหนี้นอกระบบเป็นภาพสะท้อนของปมปัญหาที่ซับซ้อนทางด้านสังคม คุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจของภาคครัวเรือน เพราะโดยทั่วไป ลูกหนี้ที่มีการกู้ยืมจากแหล่งเงินนอกระบบนั้น มักจะถูกคิดอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า 15% ที่กฎหมายกำหนดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 และอาจต้องเผชิญกับปัญหาความรุนแรงจากการทวงหนี้ของเจ้าหนี้

ดังนั้น หากมองจากมุมของลูกหนี้แล้ว การกู้ยืมนอกระบบน่าจะเป็นทางเลือกสุดท้ายในการหมุนสภาพคล่อง หลังจากที่ลูกหนี้ได้พยายามใช้วิธีอื่นๆ มาแล้ว ทั้งการตัดลดค่าใช้จ่ายลงมาให้สมดุลกับรายได้ เอาเงินออมออกมาใช้จ่าย การจำนำ/จำนองทรัพย์ การขอความช่วยเหลือจากครอบครัว/ญาติ/คนรู้จัก รวมไปถึงการกู้เงินในระบบ

เป้าหมายสำคัญของการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ก็คือ การทำให้หนี้นอกระบบกลับเข้ามาอยู่ในระบบ ซึ่งเมื่อสามารถช่วยประชาชนกลุ่มที่พึ่งพาหนี้นอกระบบให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ดีขึ้นแล้ว ผลได้ที่ชัดเจนที่สุดที่ลูกหนี้จะได้รับ ก็น่าจะเป็น ภาระดอกเบี้ยที่ลดลงจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ลดต่ำลง ซึ่งก็จะทำให้ภาระหนี้สินโดยรวมของครัวเรือนลดลง และปลดภาระหนี้ก้อนนั้นได้เร็วขึ้น

เช่น หากเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในระบบที่กู้ผ่านผู้ให้บริการพิโกไฟแนนซ์ 36% ต่อปีสำหรับกรณีไม่มีหลักประกัน กับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้นอกระบบที่ 10% ต่อเดือน (หรือ 120% ต่อปี) จะพบว่า ในทุกๆ การกู้เงินต้น 10,000 บาท(ระยะเวลา 1 ปี) ลูกหนี้จะประหยัดภาระดอกเบี้ยได้ถึง 3.3 เท่า หรือสามารถปรับลดภาระดอกเบี้ยลงมาได้ประมาณ 8,400 บาท

ทั้งนี้ หากย้อนกลับไปทบทวน “มาตรการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน” ของธปท. ที่มีการเปิดเผยออกมาก่อนหน้านี้ ก็ได้มีการเตรียมหลักเกณฑ์เพื่อดูแลและช่วยในเรื่องความสามารถในการชำระหนี้ของกลุ่มลูกหนี้นอกระบบด้วยเช่นกัน

โดยเฉพาะหลักเกณฑ์ Risk-based pricing (RBP) สำหรับสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน และสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ที่จะเริ่มเปิดรับผู้สมัครเข้าร่วมทดสอบใน Sandbox ในช่วงไตรมาสที่ 2/2567

 โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การใช้หลักเกณฑ์ RBP สำหรับสินเชื่อทั้ง 2 ประเภท จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผู้ปล่อยกู้ในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยให้เป็นไปตามความเสี่ยงของลูกหนี้ ซึ่งหากในอนาคตมีผู้ประกอบการที่ผ่านเกณฑ์การทดสอบออกจาก Sandbox ได้มากขึ้น ก็น่าจะช่วยเสริมโอกาสให้ลูกหนี้นอกระบบสามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้เพิ่มมากขึ้น

 ขณะที่ ประเด็นสำคัญของแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของภาครัฐ จะอยู่ที่กระบวนการตรวจสอบและยืนยันสถานะของทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ รวมไปถึงการจูงใจให้เจ้าหนี้มาร่วมแก้ปัญหาให้กับลูกหนี้เพราะคงต้องยอมรับว่า สัญญากู้ยืมนอกระบบอาจมีเงื่อนไขในหลายๆ ส่วนที่ไม่เป็นไปตามที่กฏหมายกำหนด โดยหากการติดตามเจ้าหนี้มีความล่าช้า ก็อาจต้องมีการพิจารณาต่อว่าจะดำเนินการเพิ่มเติมอย่างไร

โดยเฉพาะในประเด็นการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินเฉพาะกิจเพื่อนำไปปิดหนี้นอกระบบ แต่หากกระบวนการสามารถเดินหน้าต่อได้ก็จะทำให้ระดับหนี้ครัวเรือนในระบบปรับเพิ่มขึ้นตามยอดการปล่อยสินเชื่อในส่วนดังกล่าว

นอกจากนี้ การแก้ไขปัญหาหนี้สินของครัวเรือนให้ได้อย่างยั่งยืนคงต้องย้อนกลับไปดูแลปัญหาที่ต้นตอในระดับครัวเรือน โดยเฉพาะในด้านรายได้ ความรู้และวินัยทางการเงิน รวมถึงคงต้องดำเนินการเพิ่มเติมในอีกหลายๆ ส่วน

โดยเฉพาะหนี้สินภาคครัวเรือนที่อยู่ในระบบ ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนอาจขยับขึ้นไปที่กรอบประมาณ 16.4-16.5 ล้านล้านบาท ณ สิ้นปี 2566 คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 90-91% ต่อจีดีพี เทียบกับระดับ ณ สิ้นปี 2565 ซึ่งอยู่ที่ 15.9 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 91.4% ต่อจีดีพี