CKP ผนึก BEM ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ เดินรถไฟฟ้า "สีน้ำเงิน-ม่วง"

30 ส.ค. 2566 | 11:30 น.
อัปเดตล่าสุด :30 ส.ค. 2566 | 11:30 น.

ซีเค พาวเวอร์ จับมือ BEM เซ็นต์สัญญาครั้งประวัติศาสตร์ รุกใช้พลังงานแสงอาทิตย์เดินรถไฟฟ้าระบบรางครั้งแรกในไทย ประเดิม 2 สาย “สีนำเงิน-สีม่วง” รวม 71 กิโลเมตร 54 สถานีทั่วกรุงเทพ คาดเริ่มจ่ายไฟ ส.ค.67 เต็มระบบ ก.พ.68

พลังงานแสงอาทิตย์ คือ แหล่งพลังงานหมุนเวียนที่มีราคาถูกที่สุดของโลก คาดการณ์ว่า อีกไม่ถึง 20 ปีข้างหน้านี้ ความต้องการพลังงานในกลุ่มประเทศอาเซียนจะเพิ่มขึ้นเท่าตัว โดยที่ภาคขนส่งจะเป็นผู้ใช้พลังงานรายใหญ่ที่สุดในอาเซียนและสูงกว่าภาคอุตสาหกรรม  

เมื่อเร็วๆนี้บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด(มหาชน)หรือ CKP หนึ่งในผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนชั้นนำของอาเซียน ได้ลงนามในข้อตกลงที่จะนำไปสู่การใช้กระแสไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานแสงอาทิตย์ในการเดินรถขนส่งมวลชนด้วยรถไฟฟ้าระบบรางกับบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน)หรือ BEM ผู้ให้บริการขนส่งมวลชนรถไฟฟ้ามหานครสองสายในกรุงเทพฯและทางด่วน
 


ข้อตกลงดังกล่าวเป็นการผนึกความร่วมมือระหว่างสองบริษัทในการนำองค์ความรู้และทรัพย์สินเพื่อใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการเดินรถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคล (สายสีน้ำเงิน) และสายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) ซึ่งมีระยะทางกว่า 71 กิโลเมตร ให้บริการขนส่งมวลชน 54 สถานีทั่วกรุงเทพฯ 

นายธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด(มหาชน)

นายธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า CKP รู้สึกภูมิใจที่เป็นรายแรกในประเทศไทยที่บุกเบิกนำไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ในอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน การร่วมมือกับ BEM  ครั้งนี้

จึงเป็นครั้งแรกที่มีการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการขับเคลื่อนระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนทางรางของประเทศไทยในขอบเขตการทำงานขนาดใหญ่ ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีการใช้งานไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น

สำหรับสัญญาความร่วมมือครั้งนี้ มีระยะเวลา 25 ปี โดยจะมีการผลิตกระแสไฟฟ้าป้อนระบบรถไฟใต้ดินในปริมาณมหาศาลถึง 452 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมง หรือคิดเป็น 12% ของไฟฟ้าที่ประเมินว่ารถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินกับสายสีม่วงต้องใช้รวมกันทั้งหมด โดยคาดว่า งานออกแบบจะแล้วเสร็จในเดือนมกราคม 2567 และจะเริ่มงานก่อสร้างในเดือนกุมภาพันธ์ จากนั้นจะเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในเดือนสิงหาคม 2567 ให้กับรถไฟฟ้าทั้งสายสีน้ำเงินและสายสีม่วง และจะทยอยส่งมอบจนเต็มระบบในเดือนกุมภาพันธ์ 2568
 


“ซีเค พาวเวอร์คือผู้บุกเบิกการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในภูมิภาค มีองค์ความรู้เฉพาะทางที่กว้างขวาง เราพร้อมนำความเชี่ยวชาญ ในการออกแบบด้านวิศวกรรม ติดตั้งและก่อสร้างระบบไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ ตลอดจน ดูแลเรื่องความพร้อมในการจ่ายไฟและการบำรุงรักษาหลังการติดตั้งอย่างครบวงจร พร้อมรองรับการขยายความร่วมมือในอนาคต”นายธนวัฒน์กล่าว 

ขณะเดียวกัน ความร่วมมือนี้ยังมีศักยภาพที่จะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมที่ใช้พลังงานจากแหล่งหมุนเวียนหากโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนอื่นๆ จะหันมาดำเนินกลยุทธ์ในลักษณะเดียวกัน ดังเช่นระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนเยอรมันที่เป็นผู้ใช้พลังงานหมุนเวียนรายใหญ่ที่สุดของประเทศเยอรมนี

ปัจจุบันซีเค พาวเวอร์คือ บริษัทที่มีสัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ 93% สูงที่สุดในกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ของประเทศไทย โครงการเหล่านี้ จึงเป็นการดำเนินงานที่สอดคล้องกับเป้าหมาย 3ปี ที่ซีเค พาวเวอร์ตั้งเป้าไว้เมื่อต้นปี 2565 ที่จะขยายขนาดธุรกิจให้ใหญ่ขึ้นมากกว่าเท่าตัวภายในปี 2567 พร้อมกับเพิ่มกำลังผลิตกระแสไฟฟ้าจาก 2,000 เมกะวัตต์เป็น 4,800 เมกะวัตต์

สำหรับกำลังผลิตที่เพิ่มขึ้นทั้งหมดจะมาจากพลังงานหมุนเวียนทั้ง พลังแสงอาทิตย์ พลังลม และพลังน้ำ ซึ่งปี 2565 โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนของซีเค พาวเวอร์ผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดให้กับประเทศไทยทั้งสิ้น 9,767 กิกะวัตต์ชั่วโมงหรือประมาณ 4.5% ของไฟฟ้าที่ใช้ภายในประเทศทั้งหมด ส่งผลให้ก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศลดลงได้ราว 5 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
 

นายสมบัติ กิจจาลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด(มหาชน)


ด้านนายสมบัติ กิจจาลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด(มหาชน)กล่าวว่า บริษัทมุ่งมั่นสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานของไทยไปสู่พลังงานสะอาดและมีส่วนช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2608  ซึ่งความร่วมมือกับซีเค พาวเวอร์ครั้งนี้ จะทำให้ BEM สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 300,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์และยังช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าอีกด้วย

ทั้งนี้ ภายใต้ข้อตกลงนี้ พื้นที่ที่จะใช้รับพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อนำมาผลิตกระแสไฟฟ้ามีทั้งหมด 6 จุด ครอบคลุมพื้นที่กว่า 106,000 ตารางเมตร อาทิ หลังคาของศูนย์ซ่อมบำรุงรถไฟฟ้า อาคารที่จอดรถ และอาคารสำนักงานของรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและสายสีม่วง 
"โครงการนี้ถือเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความร่วมมือที่สำคัญ ซึ่งทั้งสององค์กรกำลังศึกษาแผนงานในการก่อสร้างและต่อยอดจากความร่วมมือประวัติศาสตร์นี้ เพื่อที่จะเพิ่มสัดส่วนการนำพลังงานจากแหล่งหมุนเวียนมาใช้กับระบบขนส่งที่กำลังเติบโตขยายตัว และมีความต้องการด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง” ดร.สมบัติกล่าว